หลังจาก บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EMG) เมื่อเเดือนมิถุนายน 2567 ในการปรับโครงสร้างเป็น บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ล่าสุด นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูลกรรมการผู้จัดการ บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการยื่นขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคาดว่า “ติดล้อ โฮลดิ้งส์” จะทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมด (Tender Offer) จากผู้ถือหุ้นเดิม โดยการแลกหุ้นที่อัตรา 1:1 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/67
สาเหตุหลักในการปรับโครงสร้างเป็น “Holding Company” เพราะปัจจุบัน TIDLOR มีสถานะเป็นนิติบุคคลต่างด้าวตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จากการมีผู้ถือหุ้นเป็นบุคคล และ/หรือนิติบุคคลต่างประเทศ รวมกันเกินกว่า 50% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่คือ MUFG ถือหุ้นผ่านธนาคารกรุงศรีอยุธยาในสัดส่วน 61%
ซึ่งมีกฎหมายเฉพาะสำหรับบริษัทต่างด้าว ที่ควบคุมอัตราส่วนเงินกู้ต่อทุนจดทะเบียน (D/E Ratio) โดยกำหนดเพดานไว้ไม่ให้เกิน 7 เท่า ส่งผลให้หลังจาก TIDLOR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในปี 2564 ทุกๆปีนอกจากต้องจ่ายปันผลเป็นเงินสดให้กับผู้ถือหุ้นแล้ว ยังต้องจ่ายปันผลเป็นหุ้นด้วย เพื่อรักษาระดับ D/E Ratio ซึ่งการปันผลเป็นหุ้นไม่ได้เพิ่มมูลค่าหุ้น แต่กลับเพิ่มต้นทุนของบริษัทฯและผู้ถือหุ้น
เห็นได้จากตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทมีต้นทุนที่ปันผลเป็นหุ้นคิดเป็นมูลค่าประมาณ 150 ล้านบาท ตลอด 3 ปี เฉพาะปี 2566 ปีเดียวมีต้นทุนปันผลเป็นหุ้นสูงถึง 80 ล้านบาท ในอนาคตหากบริษัทมีกำไรเติบโตต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าใน 10 ปี โอกาสที่ต้นทุนการจ่ายปันผลเป็นหุ้นอาจเพิ่มขึ้น เป็น 1,000 ล้านบาท
ดังนั้นการปรับโครงสร้างเป็น Holding Company จึงช่วยประหยัดต้นทุนในส่วนของการจ่ายปันผลเป็นหุ้นได้หลายสิบล้านบาท สามารถนำไปใช้ในการลงทุนขยายธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง เป็นประโยชน์และสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นและบริษัทฯได้อย่างยั่งยืน โดยยังคงนโยบายจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดที่สัดส่วน 20% ของกำไรสุทธิต่อปี
นอกจากนี้ยังลดความสับสนของนักลงทุนเกี่ยวกับราคาหุ้น (Dilution) และกำไรต่อหุ้น (EPS) จากการเติบโตของธุรกิจ ทำให้ต้องจัดหาเงินทุนบางส่วนจากการเพิ่มทุนจดทะเบียนและจ่ายเงินปันผลบางส่วนเป็นหุ้น เพื่อให้บริษัทสามารถกู้ยืมเงินเพื่อรองรับการเติบโต และดำรงสัดส่วนหนี้ต่อทุนไม่ให้เกิน 7 เท่า
ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความสับสนกับผลประกอบการ โดยเฉพาะราคาหุ้นและกำไรต่อหุ้น เพราะช่วงระหว่างปี 2564-2566 กำไรสุทธิเติบโตจาก 12,000 ล้านบาท เป็น 18,900 ล้านบาท แต่กำไรต่อหุ้นกลับเท่าเดิมที่ประมาณ 1.4 บาทต่อหุ้น
ซึ่งหลังจากปรับโครงสร้างเป็น “ติดล้อ โฮลดิ้งส์” มั่นใจว่าผลการดำเนินงานยังดีอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ทางภาษีเข้ามาเสริม ค่าใช้จ่ายภาษีลดลง สร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้ในระดับที่เหมาะสม มีปันผลสม่ำเสมอจากความยืดหยุนในการจ่ายปันผลเป็นเงินสดได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน ยังเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจทั้งสินเชื่อและนายหน้าประกันภัย เพิ่มความสามารถในการแข่งขันและโอกาสขยายไปยังธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ด้วยการร่วมทุนหรือควบรวมกิจการ ซึ่งหนึ่งในเป้าหมายคือการขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน โดย MUFG หรือ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ผู้ถือหุ้นใหญ่ ที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลกและทั่วภูมิภาค พร้อมให้การสนับสนุนการขยายธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ
นายปิยะศักดิ์ กล่าวถึงแผนงานระยะที่ 2 หลังจากปรับโครงสร้างเป็น “ติดล้อ โฮลดิ้งส์” ว่า จะทำการแยกกลุ่มธุรกิจเดิมกับกลุ่มธุรกิจใหม่ โดยจะโอนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยในรูปแบบ InsurTech Platform ได้แก่ แบรนด์ “อารีเกตอร์” (Areegator) และ แบรนด์ “เฮ้กู๊ดดี้” (heygoody) รวมทั้ง ทรัพย์สินอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องให้แก่บริษัทใหม่ (New Tech Company) ภายใต้ “ติดล้อโฮลดิ้งส์” โดยติดล้อโฮลดิ้งส์ จะเข้าถือหุ้นบริษัทใหม่ในสัดส่วน 99.99 %
“การตั้งบริษัทใหม่ คือส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้าง ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นของโครงสร้างการจัดการองค์กรให้เหมาะสมกับการประกอบธุรกิจ และแบ่งแยกการบริหารและจำกัดความเสี่ยงของแต่ละธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงปลดล็อกศักยภาพธุรกิจนายหน้าประกัน ไปสู่ผู้นำด้าน InsurTech Platform จิ๊กซอว์เติมเต็ม TIDLOR Ecosystem สร้างระบบนิเวศด้านการเงินและประกันภัยที่แข็งแกร่ง”
ทั้งนี้ จากอัตราการเติบโตเฉลี่ยของธุรกิจนายหน้าประกันในช่วง 6 ปี ที่ผ่านมา เติบโตสูงถึง 47.3% ต่อปี สูงกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมธุรกิจประกันวินาศภัยที่เติบโตเฉลี่ยเพียง 4.5% ต่อปี หรือเติบโตมากกว่าภาพรวมตลาดถึง 10 เท่า อีกทั้งสัดส่วนธุรกรรมจากลูกค้าที่ซื้อประกันสูงกว่าการขอสินเชื่อประมาณ 3 เท่า โดย 9 ใน 10 ของกรมธรรม์เป็นลูกค้าที่เจาะจงมาซื้อประกัน ซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับลูกค้าสินเชื่อ สะท้อนถึงความสำเร็จในการสร้างการรับรู้แบรนด์ ความแข็งแกร่งและศักยภาพการดำเนินธุรกิจนายหน้าประกันของเงินติดล้อ ในช่วงที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี
ขณะที่ธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ปัจจุบันมียอดสินเชื่อคงค้างมากกว่า 100,000 ล้านบาท แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน หนี้สินครัวเรือนสูง กำลังซื้อและความสามารถในการชำระหนี้ชะลอตัว ส่งผลให้สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าสิ้นปี 2567 จะอยู่ที่ 2% จากปัจจุบัน 1.8% จึงควบคุมและบริหารจัดการคุณภาพของพอร์ตลูกหนี้ ส่งผลให้การปล่อยสินเชื่อชะลอตัว จึงปรับลดเป้าหมายการเติบโตจากเดิม 10-20% เป็น 10-15%