ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ชี้สัญญาณต่างชาติเที่ยวไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ช้ากว่ากลุ่มประเทศที่ได้รับความนิยม อาจสะท้อนว่าไทยเริ่มเสื่อมมนต์ขลัง มองข้อจำกัดเพื่อยกระดับการท่องเที่ยวไทยให้ยังเป็นทางเลือกลำดับแรกๆ และคุ้มค่าที่จะเที่ยวซ้ำ หรือเป็นตัวเลือกในการพำนักระยะยาว เพื่อความยั่งยืนในอนาคต
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นแหล่งรายได้สำคัญที่เคยสร้างเม็ดเงินสูงสุดกว่า 1.9 ล้านล้านบาท จากนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 39.92 ล้านคน นำมาซึ่งเงินตราต่างประเทศที่เสริมสร้างให้ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยมีความเข็มแข็งมากขึ้น และในมิติของธุรกิจท่องเที่ยว เม็ดเงินที่ผู้ประกอบไทยได้รับในรูปแบบของกำไรก็มีส่วนต่างมากกว่ากลุ่มภาคการผลิต
หลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย ในปี 2566 เริ่มเห็นสัญญาณนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวที่ 71% และในปี 2567 นักท่องเที่ยวต่างชาติยังรักษาการฟื้นตัวได้ต่อเนื่องที่ 89% หรือราว 35.5 ล้านคน แต่ค่อนข้างฟื้นตัวได้ช้ากว่าประเทศอื่นๆที่กลับมาฟื้นตัวทะลุระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากการท่องเที่ยวไทยมีความเปราะบางพึ่งพิงนักท่องเที่ยวจีนในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ที่มีสัดส่วนกว่า 28% อาจเริ่มเสื่อมความนิยม
จากสถิติปี 2567 นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวเพียง 60% ซึ่ง ttb analytics มองว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยอาจไม่ได้สดใสอย่างที่มองกันแบบผิวเผิน แต่อาจมีความท้าท้ายที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งจะกลายเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในระยะยาว จากเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
(1) นักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมา หรือจะไม่กลับมา เนื่องจากไทยเป็นตลาดที่เข้าถึงง่าย ค่าใช้จ่ายต่อทริปไม่สูง ไทยจึงเป็นจุดหมายแรกของการเริ่มเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ (Entry Level) แต่อัตราการท่องเที่ยวซ้ำอาจไม่สูงมาก จากท่องเที่ยวในไทยที่ยังมีปัญหาซุกใต้พรม เช่น ประสบการณ์ที่ถูกเอาเปรียบ คุณภาพการขนส่งสาธารณะโดยเฉพาะนอกเขตเมืองหลักของการท่องเที่ยว พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ชาวจีนที่เคยมาเที่ยวไทย เมื่อรายได้เพิ่มขึ้นก็มีทางเลือกมากขึ้น
(2) การท่องเที่ยวไทยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปไม่สูง แม้ในปี 2562 จะมีตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงถึง 39.92 ล้านคน เป็นนักท่องเที่ยวจากอาเซียนถึง 10.9 ล้านคน หรือ 27.2% แต่มีนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศที่มีชายแดนติดกันรวมแล้วกว่า 7.4 ล้านคน หรือ 68% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติในอาเซียน รวมถึงในปี 2567 นักท่องเที่ยวจากกลุ่มอาเซียนก็ยังมีสัดส่วนมากถึง 30% ของนักท่องเที่ยวรวม ซึ่งคาดว่ามีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยไม่สูงนักจากค่าครองชีพในต้นทางที่ไม่สูงกว่าไทย ส่งผลต่อกำลังซื้อที่ไม่มากพอ ระยะพักแรมที่สั้นกว่าเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่น ดังนั้นเพื่อให้การท่องเที่ยวไทยยั่งยืน ควรเน้นเรื่องคุณภาพนักท่องเที่ยวมากกว่าปริมาณ
(3) นักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทย กระจุกตัวแค่กรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่เกือบ 90% การเข้าประเทศไทยนักท่องเที่ยวยังเดินทางผ่านกรุงเทพฯเป็นหลัก ซึ่งสะท้อนจากรายงาน Euromonitor ชี้ว่า กรุงเทพฯ รับนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 32.4 ล้านคน จากนักท่องเที่ยวทั้งปี 35.5 ล้านคน เปรียบเทียบกับ อิสตันบูล เมืองที่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 23 ล้านคน แต่นักท่องเที่ยวของตุรกีสูงถึง 69.3 ล้านคน สะท้อนว่าการเดินทางเข้าตุรกี ไม่จำเป็นต้องเข้าเมืองอิสตันบูล โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรป และยังสะท้อนข้อจำกัดการเที่ยวในเมืองอื่นๆของไทยมีศักยภาพต่ำกว่ากรุงเทพฯ จึงมีโอกาสที่จะพัฒนาต่อยอดให้เกิดการท่องเที่ยวและมีการใช้จ่ายท่องเที่ยวได้มากขึ้น หากมีระบบการเดินทางที่ครอบคลุมเชื่อมโยงมากขึ้น
ในปี 2568 ttb analytics จึงมองตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยยังคงได้รับอานิสงค์บ้างจากนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มใหม่ เช่น อินเดีย ที่รายได้ต่อหัวปรับเพิ่มขึ้นถึง 73.1% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่การเพิ่มนักท่องเที่ยวของอินเดียอยู่ในช่วงเริ่มต้น ยังไม่สามารถชดเชยนักท่องเที่ยวจีนที่ ”ยังไม่กลับหรืออาจไม่กลับ” โดยคาดว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 37.8 ล้านคน และอาจเริ่มเติบโตชะลอลงในปี 2569 จากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ที่ยังไม่สามารถชดเชยนักท่องเที่ยวจากจีนที่ขาดหายไปได้
ดังนั้นในมุมมองของ ttb analyticsจึงเสนอว่าไทยควรเตรียมรับมือจากข้อจำกัดข้างต้น ดังนี้
(1) การพำนักระยะยาว (Long Stay) เพื่อเพิ่มรายจ่ายต่อหัว ซึ่งปกตินักท่องเที่ยวต่างชาติจะพักผ่อนในไทยราว 6-8 วัน สำหรับนักท่องเที่ยวเอเชีย และ 14-17 วันสำหรับนักท่องเที่ยวจากยุโรป สหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย ถ้าดึงดูดให้ท่องเที่ยวแบบพำนักระยะยาวได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความประสงค์หาประเทศที่มีค่าครองชีพต่ำเพื่ออาศัยในช่วงเกษียณอายุ คาดว่าจะมีการใช้จ่ายมากกว่าการท่องเที่ยวรายครั้ง 10-12 เท่า เป็นฐานในการสร้างรายได้ในปีถัด ๆ ไป ต่างจากนักท่องเที่ยวรายครั้ง ที่ต้องหวังให้กลับมาเที่ยวซ้ำ ดังนั้นภาครัฐควรจริงจังในการดำเนินนโยบายด้านการให้ความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวแบบพำนักระยะยาว ที่ในปัจจุบันอาจมีความสะดวกในเรื่องวีซ่า แต่ความสะดวกในการดำรงชีพถือว่ายังไม่พร้อม เช่น การครอบครองที่อยู่อาศัย สิทธิในการรักษาพยาบาลแบบรับผิดชอบรวม
(2) การอาศัย Location เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวจากประเทศที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่มประเทศในทวีปเอเชียที่ใช้เวลาท่องเที่ยวไม่นานนัก เนื่องจากเดินทางมาไทยด้วยเที่ยวบินระยะสั้น (Short Haul) ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่ำและใช้เวลาในการเดินทางไม่มาก รวมถึง ในพื้นที่ดังกล่าวพบว่ายังมีประเทศที่มีศักยภาพในเชิงของกำลังซื้อที่สูงกว่าไทย เช่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน รวมถึงกลุ่มประเทศใหญ่ที่ยังมีศักยภาพในการขยายตัวด้านปริมาณอย่างมหาศาลจากฐานประชากรที่ใหญ่อย่างอินเดีย เป็นต้น
โดยสรุป แม้สถานการณ์การท่องเที่ยวไทยจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัว แต่ตัวเลขนักท่องเที่ยวของหลาย ๆ ประเทศที่มีสัญญาณกลับมาอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์โควิด-19 สัญญาณดังกล่าวอาจสะท้อนถึงไทยที่เริ่มเสื่อมมนต์ขลังในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ
เพื่อให้กลับไปเท่ากับช่วงปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ 39.92 ล้านคน ภาครัฐและผู้ประกอบการควรเร่งปรับลดข้อจำกัด ลดจุดอ่อน เพิ่มจุดแข็ง ยกระดับคุณภาพ ลดการเน้นปริมาณ เพื่อยกระดับการพัฒนาการท่องเที่ยวไทยให้เป็นทางเลือกลำดับแรกๆ และคุ้มค่าที่จะกลับมาเที่ยวซ้ำ เพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในอนาคต