ttb analytics ชี้ความสามารถดึงดูด FDI ของไทยไม่เหมือนเดิม

0
11

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics มองความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของไทยไม่เหมือนเดิม เหตุภาครัฐมุ่งการให้สิทธิประโยชน์ฝั่งต้นทุนเป็นสำคัญ แต่ขาดการสร้างความเชื่อมั่นในการสร้างรายได้ของกิจการ แนะรัฐพัฒนาศักยภาพ ยกระดับกำลังซื้อเพื่อสร้างแต้มต่อ พร้อมวางความพร้อมแรงงานทักษะที่สามารถรองรับการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย  

ในอดีตไทยเป็นแหล่งเป้าหมายสำคัญของเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment : FDI) ที่เข้ามาขยายการลงทุนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) โดยในช่วงปี 2538-2547  มีเงินลงทุน FDI เป็นสัดส่วนถึง 35.3% ของ FDI ที่เข้า ASEAN* (*ไม่รวมสิงคโปร์) มีส่วนช่วยให้ไทยมีรากฐานการเจริญเติบโตที่แข็งแกร่งและสามารถสร้างความเจริญเติบโตหลังเกิดวิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งได้สูงถึง 4.6% ต่อปี (CAGR 2541-2553)

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2548 เม็ดเงิน FDI ของไทยเพิ่มขึ้นช้าลงเมื่อเทียบกับประเทศใน ASEAN*  โดบมีสัดส่วนเพียง 20.6% ในช่วงปี 2548-2557 และลดลงต่อเนื่องเหลือราว 10.4%  ในปี 2558-2566 ส่งผลให้ไทยมีแรงส่งในการเติบโตทางเศรษฐกิจเพียง 1.8% ต่อปี (CAGR 2555-2566)   

และในปี 2566 มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหลือเพียง 4.6%  แสดงให้เห็นถึงการที่ไทยไม่สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้  ttb analytics จึงมองความสามารถในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของไทยไม่เหมือนเดิม ซึ่งเน้นในเรื่องการให้สิทธิประโยชน์ที่ช่วยเฉพาะฝั่งต้นทุน ทำให้นักลงทุนที่มีวัตถุประสงค์ในการลงทุนที่ไม่เป็นเพียงการลดต้นทุนให้ต่ำลงเพียงปัจจัยเดียว แต่หากเป็นการหาจุดที่เหมาะสมมากที่สุด (Optimization) เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของกำไรสูงสุด (Maximize Profit) ซึ่งประกอบไปด้วยมิติของการควบคุมต้นทุนให้เหมาะสมและมิติของโอกาสการสร้างรายได้  ซึ่งไทยยังมีข้อเสียเปรียบในมิติทั้งสองด้านรวมถึงมิติอื่น ๆ ในเชิงคุณภาพ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้      

1. มิติเรื่องต้นทุน (Cost Challenges)  แรงงาน เป็นประเด็นสำคัญในการเลือกแหล่งลงทุนก่อตั้งกิจการ โดยต้นทุนค่าแรงจะถูกกำหนดจากนโยบายของภาครัฐผ่านอัตราค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งที่ผ่านมาไทยมีการขยับค่าแรงขั้นต่ำหลายระลอก เช่นในช่วงปี 2556  ขยับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทต่อวัน และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนปัจจุบันอยู่ที่ 330-370 บาทต่อวัน สูงกว่าหลายประเทศในอาเซียน เช่น เวียดนาม ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 173-250 บาทต่อวัน  หรือฟิลิปปินส์มีค่าแรงขั้นต่ำราว 229 บาทต่อวัน  ซึ่งค่าแรงที่สูงกว่ากระทบต่อต้นทุนการผลิตอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก (Labor Intensive) รวมถึงการลดต้นทุนผ่านสิทธิประโยชน์ในการลงทุนผ่านนโยบายส่งเสริมต่างๆ พบว่าในแต่ละประเทศให้สิทธิประโยชน์ที่ใกล้เคียงกัน รวมถึงสิทธิประโยชน์ด้านภาษีก็ย่อมที่จะได้มากเมื่อธุรกิจเกิดกำไรจำนวนมาก ซึ่งความได้เปรียบในเรื่องนี้ไทยยังคงถูกจำกัด เนื่องจากปัจจัยด้านศักยภาพในการสร้างรายได้มีแนวโน้มขยายตัวต่ำเมื่อเทียบกับหลายประเทศ   

2. การสร้างรายได้ (Revenue Generation Opportunities)  ปัจจัยสำคัญที่สุดในการลงทุน เนื่องจากทำเลที่มีศักยภาพมักมาพร้อมกับต้นทุนที่ราคาแพง ซึ่งไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่งใน ASEAN* เช่น มิติด้านกำลังซื้อของคนในประเทศสะท้อนผ่าน GDP Per Capita ของไทยที่ในรอบ 10 ปี (2556-2566) เพิ่มขึ้นเพียง 15.3% ในขณะที่ เวียดนาม อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย มีรายได้ต่อหัวเพิ่มถึง 64%, 37.6%, และ 30.2% ตามลำดับ

นอกจากนี้เมื่อพิจารณาถึงภาคการส่งออกประเทศในกลุ่ม ASEAN* มักไม่มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบมากนัก ในเรื่องสถานที่ตั้งที่ได้เปรียบในพื้นที่เอเชีย-แปซิฟิก แต่ไทยมีข้อเสียเปรียบค่อนข้างชัดเจนเมื่อเทียบกับเวียดนามที่มีข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) กับเขตเศรษฐกิจยุโรป (EU) ที่มีโอกาสในการเปิดพื้นที่การค้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์มากกว่าไทยถึงกว่า 27 ประเทศ  

นอกเหนือจากความเสียเปรียบทั้งมิติของโอกาสการสร้างรายได้และปัจจัยด้านต้นทุน การลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยยังมีปัจจัยท้าทายอื่นที่ต้องเผชิญ (Other Challenges to Confront) เช่น ปัจจัยความพร้อมด้านกำลังแรงงานในระยะ 10 ปีข้างหน้า ประชากรวัยแรงงานของไทยจะลดลง 2.7 ล้านคน ในขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย กลับมีประชากรวัยแรงงานเพิ่มขึ้น 14.9 ล้านคน 4.9 ล้านคน และ 1.9 ล้านคน ตามลำดับ 

ในมิติเชิงคุณภาพแรงงานในอนาคตต้องพร้อมรับเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคของ เทคโนโลยีดิจิทัล การผลิตขั้นสูง และอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) พบว่าแรงงานไทยมีความเป็นไปได้ในการพัฒนาทักษะดังกล่าวเพื่อเป็นแรงงานทักษะในอนาคต สะท้อนผ่าน PISA Score 2565 ไทยอยู่อันดับที่ 52 ตามหลังเวียดนาม (28) มาเลเซีย (49) สะท้อนถึงประสิทธิภาพในระบบการศึกษาไทยที่ยังตามหลังประเทศอื่น และจะส่งผลระยะยาวในการยกระดับแรงงานไปสู่อุตสาหกรรมขั้นสูงได้อย่างจำกัด  

ดังนั้น ข้อเสียเปรียบหลายประเด็นในการดึงดูดเม็ดเงิน FDI จึงเป็นโจทย์ที่ทางภาครัฐอาจต้องทบทวนถึงปัญหาอย่างจริงจัง  โดย ttb analytics มองว่าปัญหาหลักอาจเกิดจากไทยมุ่งเน้นเฉพาะสิทธิประโยชน์ที่ดึงดูดกลุ่มทุนต่างชาติ แต่ไม่ให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นและโอกาสการสร้างรายได้ของกิจการที่เข้ามาลงทุน ดังเช่น เวียดนามที่มีเป้าหมายจะกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมภายในปี 2573 หรือ อินโดนีเซียประกาศจะเป็นประเทศที่มีรายได้สูงในอีก 20 ปีข้างหน้า