ttb analytics มอง Telemedicine พลิกโฉมระบบรักษาพยาบาล คาดปี 2566 สร้างเม็ดเงินเพิ่ม 4-6พันล้านบาท

0
250

 

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics คาดธุรกิจ Telemedicine จะสร้างรายได้ส่วนเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมสุขภาพของไทยในปี 2566 ราว 4-6 พันล้านบาท จากระบบประกันกลุ่มที่เอื้ออำนวยต่อการเข้ารับบริการ  และมีศักยภาพขยายตัวต่อเนื่องทั้งในมิติของการเพิ่มศักยภาพและการขยายขอบเขตในการให้บริการ

Telemedicine นวัตกรรมบริการทางการแพทย์ผ่านเทคโนโลยีวิดีโอคอล ช่วยลดข้อจำกัดในการเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาล ลดต้นทุนแฝง เช่น การขาดงาน ค่าเดินทาง รวมถึงมีความสะดวกสบายและความเป็นส่วนตัว ซึ่งสถานการณ์ช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้การเข้ารับการรักษาพยาบาล โดยเฉพาะกลุ่มการเจ็บป่วยเล็กน้อย (Minor Illnesses) หรือกลุ่มติดตามอาการ (Follow-ups) ถูกปรับมาให้บริการแบบ Telemedicine เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ตลาด Telemedicine ทั่วโลก ในปี 2566 มีมูลค่าสูงขึ้นแตะ 1.94 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงขึ้นจากปี 2562 ที่ 4.99 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีช่วยยกระดับศักยภาพ Telemedicine จนปัจจุบันใกล้เคียงกับการรักษาในสถานพยาบาล โดยเฉพาะในคนไข้กลุ่มติดตามอาการ ส่งผลให้ตลาด Telemedicine ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องโดยคาดว่าในปี 2568 มูลค่าตลาดจะขยับแตะ 2.78 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับประเทศไทย พบว่า Telemedicine อยู่ในช่วงเริ่มต้น โดยคาดว่าขับเคลื่อนผ่านระบบประกันสุขภาพกลุ่ม ซึ่งมีกว่า 2.6 ล้านกรมธรรม์ ในปี 2565  ที่มีการตอบรับการใช้สิทธิ์ผ่านระบบ Telemedicine เพื่อเข้ารับบริการการดูแลรักษาในฐานะผู้ป่วยนอก (OPD) โดยไม่ต้องสำรองจ่าย  และกลุ่มการเจ็บป่วยเล็กน้อย  กลุ่มติดตามอาการ กลุ่มที่รับการรักษาโดยการรับประทานยา  ประกอบกับ Telemedicine ในไทยได้ประโยชน์จากกลุ่มธุรกิจขนส่งบรรจุภัณฑ์ ที่มีพื้นที่บริการครอบคลุมเกือบทั้งหมดในจังหวัดหลัก สนับสนุนการจัดส่งยาและเวชภัณฑ์ให้ถึงมือผู้เข้ารับบริการในระยะเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงหลังเข้ารับบริการ

ด้วยเหตุนี้ ttb analytics จึงประเมินศักยภาพการเข้ารับการรักษาพยาบาลผ่านรูปแบบ Telemedicine ในปี 2566 จะช่วยเพิ่มจำนวนการเข้ารับการรักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยนอก (OPD) ที่ตอบโจทย์ความสะดวกเรื่องต้นทุนแฝง เช่น ค่าเดินทาง การลางาน เพิ่มโอกาสการเข้ารับบริการทางการแพทย์ราว 15-20%  หรือ 7-8 ครั้งต่อปี จากเดิมที่มีการเข้ารับบริการ 5-6 ครั้งต่อปี และคาดว่าจะช่วยสร้างเม็ดเงินให้กับอุตสาหกรรมโรงพยาบาลเอกชนไทยเพิ่มขึ้นอีกราว 4,000-6,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ รูปแบบการให้บริการในการดูแลรักษาผ่าน Telemedicine ยังคงมีศักยภาพสูงในการขยายตัวบนมิติต่าง ๆ ตามช่วงระยะเวลา ดังนี้

1) การขยายตัวในรูปแบบ Vertical Timeline ผ่าน Cross-Product เช่น การให้บริการในรูปแบบ Treatment ที่ไม่ต้องรับหัตถการ โดยเฉพาะกลุ่มที่รับการรักษาบำบัดด้านความเครียด  ซึ่งรูปแบบการรับบริการกลุ่มนี้สอดคล้องกับการับบริการผ่าน Telemedicine ทั้งความสะดวกด้านเวลา และความเป็นส่วนตัว

2)การขยายตัวในรูปแบบ Horizontal Timeline เมื่อผู้ให้บริการมีความพร้อมสูงขึ้นจนสามารถเข้าสู่ระยะเติบโต (Growth Stage) โดยขยายการบริการให้ครอบคลุมมากขึ้น เช่น  การบริการด้านการตรวจวิเคราะห์จากห้องปฏิบัติทางการแพทย์ถึงสถานที่พักอาศัย 

3) การเข้าสู่ระยะการเติบโตในอัตราเร่ง (Expansion Stage) เมื่อศักยภาพบริการ Telemedicine ครอบคลุมมากขึ้น และขยายบริการไปสู่ผู้ป่วยนอก (OPD) ที่นอกเหนือจากประกันกลุ่ม  โดยพัฒนาครอบคลุมกลุ่มผู้ป่วยสิทธิประกันสุขภาพทั่วหน้า (บัตรทอง) หรือ กลุ่มผู้ป่วยประกันสังคม   จะเป็นจุดเริ่มต้นของการยกระดับศักยภาพระบบสาธารณสุขไทย    ซึ่งปัจจุบันสถานพยาบาลหลายแห่งผู้ป่วยหนาแน่นเกินศักยภาพ จนจัดสรรทรัพยากรไม่ทั่วถึง

หากระบบ Telemedicine สามารถลดจำนวนผู้ป่วยโดยเฉพาะในกลุ่มเจ็บป่วยเล็กน้อย  หรือกลุ่มติดตามอาการ ครอบคลุมทุกสิทธิ์การรักษาจะเป็นการช่วยลดความหนาแน่นของผู้ป่วยในแต่ละสถานพยาบาลได้อย่างมีนัยสำคัญ  จะช่วยให้การจัดสรรทรัพยากรในการดูแลรักษาสุขภาพของผู้เข้ารับบริการมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

ดังนั้นบริการ Telemedicine จึงเป็นปัจจัยพลิกโฉมรองรับผู้ป่วยนอก  โดยคาดว่าปี 2566 จะเริ่มขับเคลื่อนผ่านระบบประกันสุขภาพกลุ่มเป็นลำดับแรก พร้อมทั้ง พัฒนาศักยภาพไปสู่การให้บริการกับกลุ่มคนอื่น ๆ  ต่อไป  นอกจากนี้ ยังทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น การขนส่ง ไอทีต่าง ๆ ขยายตัวรองรับการเติบโตด้วยเช่นกัน