ttb analytics แนะครัวเรือนบริหารเงินสดและหนี้สิน ป้องกันการเงินตึงตัว จากเงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาขึ้น

0
115

หลังคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปีจาก 0.5% เป็น 0.75% เพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่าจะสูงต่อไป ประกอบกับเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง การพึ่งพานโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษจึงมีความจำเป็นน้อยลง  ส่งผลให้ภาคครัวเรือนต้องแบกรับภาระทางการเงินมากขึ้น จากค่าครองชีพสูงและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยและกลุ่มที่มีภาระหนี้สินในระดับสูง

ประเมินผลกระทบอัตราเงินเฟ้อที่คาดว่า จะเร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 6.7% จาก 1.2% ในปี 2564 ต่อภาวะการเงินของครัวเรือนแต่ละกลุ่มพบว่า กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่อเดือนที่ 25,000 – 50,000 บาท ( 35% ของครัวเรือนทั้งหมด) จะมีรายจ่ายต่อเดือนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 72% เมื่อเทียบกับ 68% ในปีก่อน หรือ เพิ่มขึ้นมา 1,000 – 2,000 บาทต่อเดือน ขณะที่กลุ่มครัวเรือนรายได้ 15,000 – 25,000 บาทต่อเดือน ( 17% ของครัวเรือนไทยทั้งหมด) จะมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น 84% จาก 79% ในปีก่อน หรือ 750 – 1,250 บาทต่อเดือน

นอกจากนี้ครัวเรือนยังต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่มีทิศทางเพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีภาระผ่อนชำระสัญญาเงินกู้ที่อ้างอิงด้วยอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว เช่น  สินเชื่อบ้านซึ่งเป็นเงินกู้ระยะยาวและมีกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน การคิดดอกเบี้ยมักคำนวณสูตรอ้างอิงกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกหนี้รายย่อยชั้นดี หรือ MRR (Minimum Retail Rate) ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย อยู่ที่ 5.95% – 7.35% และจะทยอยปรับเพิ่มตามการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

แม้ว่ายอดผ่อนส่งต่องวดของสินเชื่อบ้านมักกำหนดไว้ตายตัวตลอดสัญญา  แต่อัตราดอกเบี้ยที่กำลังทยอยปรับขึ้น จะส่งผลให้ยอดเงินต้นในแต่ละงวดที่ผ่อนชำระลดลง  ทำให้มียอดหนี้คงค้างในงวดสุดท้ายเหลือในอนาคตมากขึ้น อาจส่งผลให้ต้องขอยืดระยะเวลาสัญญากู้ยืมนานออกไป

ยกตัวอย่าง สัญญาจำนองบ้านกับธนาคาร 2 ล้านบาท ระยะเวลาสัญญาเงินกู้ 20 ปี ชำระค่างวดเป็นรายเดือน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยตามสัญญาอยู่ที่ 5% จะมีภาระผ่อนส่งค่างวดเดือนละ 13,200 บาท แต่ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยสัญญากู้ยืมปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6% และ 7% จะทำให้การผ่อนชำระค่างวดเมื่อเทียบกับกรณีดอกเบี้ย 5% เพิ่มขึ้นอีก 1,100 บาท และ 2,300 บาท มาอยู่ที่ 14,300 บาทต่อเดือน และ 15,500 บาทต่อเดือนตามลำดับ ซึ่งหากคิดเป็นเงินต้นก็จะทำให้หนี้บ้านลดลงช้ากว่าเดิมราว 13,200 และ 27,600 บาทต่อปี

ทั้งนี้ ครัวเรือนผู้กู้ที่น่าจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่กำลังจะปรับสูงขึ้นมากที่สุด ได้แก่

1. กลุ่มที่เพิ่งเริ่มกู้ยืมเงินแบบจำนองบ้านในช่วงขาดอกเบี้ยต่ำ 2-3 ปีที่ผ่านมา และ 2. กลุ่มที่กำลังจะขอกู้ยืมสินเชื่อบ้านใหม่ เนื่องจากมียอดหนี้คงค้างในสัญญาสูงและยังต้องรับภาระดอกเบี้ยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่กำลังจะขอสินเชื่อใหม่ ที่อาจประสบกับเกณฑ์ในการพิจารณาให้สินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น การพิจารณาด้านอัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้ของผู้ขอกู้ หรือ DSR (Debt Service Ratio) นอกจากนี้ ยังมีครัวเรือนกลุ่มเปราะบางต่ออัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งส่วนมาก คือ กลุ่มที่มีสัญญาเงินกู้ระยะเวลายาวนานและมีมูลค่าผ่อนส่งต่องวดน้อย ที่อาจถูกปรับเพิ่มค่างวดได้

สำหรับกลุ่มที่มีภาระผ่อนชำระสินเชื่อในกลุ่มที่มีอัตราดอกเบี้ยแพง อาทิ สินเชื่อส่วนบุคคล (P-loan) และบัตรเครดิต  แม้อัตราดอกเบี้ยจะไม่ได้อิงกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่หากบริหารจัดการไม่เหมาะสม ยิ่งทำให้เพิ่มแรงกดดันต่อกระแสเงินสดและภาวะการเงินครัวเรือนในช่วงยุคดอกเบี้ยขาขึ้นนี้ได้

สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก เห็นพ้องกันในการปรับจังหวะและขนาดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์อย่างค่อยเป็นค่อยไป หลัง กนง. เริ่มปรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น  โดยพร้อมให้การช่วยเหลือลูกหนี้ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เพื่อลดผลกระทบจากภาระค่าครองชีพสูงและดอกเบี้ยขาขึ้น เพื่อช่วยประดับประคองกิจกรรมทางเศรษฐกิจไทยโดยรวมให้ฟื้นตัวโดยไม่สะดุด

อย่างไรก็ตาม ลูกหนี้จำเป็นต้องมีแนวทางบริหารจัดการเงินสดและหนี้ครัวเรือนของตนเองอย่างเหมาะสม โดยเร่งสำรวจภาระหนี้สินและประเมินผลกระทบด้านภาระดอกเบี้ยที่จะต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมบริหารเงินสดครัวเรือนและหาแนวทางบริหารจัดการหนี้ให้ลดลง เพื่อป้องกันปัญหาภาวะการเงินครัวเรือนตึงตัวที่อาจเกิดขึ้นได้

สำหรับทางเลือกในการบริหารหนี้ครัวเรือนมีหลายวิธีที่น่าสนใจ ดังนี้

1. การรวมหนี้ (Debt Consolidation) เหมาะสำหรับผู้ที่ผ่อนชำระสินเชื่อบ้านและสินเชื่อรายย่อยพร้อมกัน เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล เป็นต้น การรวมหนี้โดยใช้บ้านเป็นหลักประกันจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยและค่างวดลงได้

2. การขอรีไฟแนนซ์ (Refinance) กับผู้ให้กู้ยืมที่ให้อัตราดอกเบี้ยถูกลง เหมาะกับผู้มีภาระสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาระยะหนึ่งแล้ว

3. สำหรับผู้ขอกู้ใหม่อาจตัดสินใจเลือกสัญญากู้บ้านที่ให้ระยะเวลากู้นาน และเสนออัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Rate) ระยะหนึ่งก่อนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่กำหนด (Floating Rate) ในอนาคต หรือ สินเชื่อ Hybrid

สำหรับกลุ่มที่เห็นว่าอาจจะรับมือกับภาระดอกเบี้ยและภาระรายจ่ายที่สูงขึ้นไม่ไหว  สามารถขอรับคำปรึกษาและขอความช่วยเหลือกับธนาคาร ซึ่งจะมีเครื่องมือและแนวทางสำหรับให้ความช่วยเหลือลูกค้า เพื่อให้ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากไปได้