ทีที อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์-ไทยไพบูลย์ประกันภัย จับมือจัดโปรฯ เพื่อสังคม “ซื้อประกันมอเตอร์ไซค์แถมหมวกกันน็อค”

0
19

จากการข้อมูลที่มีการศึกษาเกี่ยวกับ “การใช้หมวกกันน็อคของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในประเทศไทย” พบสถิติที่น่าตกใจว่าคนไทยมีอัตราการสวมหมวกกันน็อคน้อยมาก โดยภาพรวมของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ที่สวมหมวกกันน็อคมีเพียง 43% เท่านั้น ในขณะที่ผู้ขับใส่หมวกกันน็อคเพียง 48% ส่วนผู้ซ้อนใส่เพียง 21% เท่านั้น (อ้างอิงผลการสำรวจจากมูลนิธิไทยโรดส์ Thai Roads Foundation) ทั้งที่อุบัติเหตุที่เกิดจากรถจักรยานยนต์มีอัตราการเสียชีวิตสูง และ “การสวมหมวกกันน็อค” นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามกฎจราจรแล้ว ยังเป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยแก่ชีวิตและร่างกาย ลดความรุนแรงของการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุของรถจักรยานยนต์ได้มากอีกด้วย ซึ่ง TTIB  อยากรณรงค์ให้คนสวมหมวกกันน็อคมากขึ้น แต่ต้องเป็นการรณรงค์แบบเข้าถึงง่าย ตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานจริง จึงหาพันธมิตรที่มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถจักรยานยนต์ที่ความคุ้มครองดี มีอัตราเบี้ยพิเศษ นำเสนอให้ลูกค้า โดย TTIB เป็นผู้สนับสนุนหมวกกันน็อคให้ รอรับง่าย ๆ ส่งพร้อมไปกับทุกกรมธรรม์ถึงหน้าบ้าน

ล่าสุด หลังจากพิจารณาเงื่อนไขแล้ว จึงตกลงร่วมกับ บริษัท ไทยไพบูลย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) จัดโปรโมชั่น “มอไซค์ใจสู้” ข้อเสนอพิเศษ “ซื้อประกันแถมหมวกกันน็อค” เมื่อลูกค้าซื้อประกันภัยรถจักรยานยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 2+ ของไทยไพบูลย์ ฯ ผ่านช่องทางออนไลน์ของ TTIB ด้วยเบี้ยประกันเริ่มต้นเพียง 2,500 บาท ผู้ขับขี่จะได้รับความคุ้มครองเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ทั้งต่อตัวรถจักรยานยนต์ รวมสูญหายและไฟไหม้ และต่อชีวิต ร่างกาย อนามัยของผู้ขับขี่ ผู้ซ้อนท้าย รวมถึงผู้ได้รับความเสียหายหรือบุคคลที่ 3 ตามเงื่อนไขของการประกันภัยแล้ว ยังได้รับหมวกกันน็อคจาก TTIB ฟรี 1 ใบ ต่อ 1 กรมธรรม์ ส่งไปพร้อมกัน ซึ่งหมวกกันน็อคนี้เป็นส่วนหนึ่ง “โครงการนินนินให้” ปีที่ 3 นี้นั่นเอง

คุณโชเฮอิ โคอิเดะ  (MR. SHOHEI KOIDE) ประธานบริษัท บริษัท ทีที อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ TTIB เปิดเผยว่า จากสถิติจะทราบว่าไทยมีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์สูงติดอันดับต้น ๆ ของอาเซียน และการจัดทำโครงการ ฯ นี้เป็นความตั้งใจของบริษัท ฯ เพื่อช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ของไทย เพราะจากข้อมูลพบว่าอุบัติเหตุ ฯ ที่เกิดขึ้นในไทยมีสัดส่วนถึง 1 ใน 3 ของการเกิดอุบัติเหตุ ฯ ทั่วโลก อีกทั้งยังคาดว่าจะช่วยส่งเสริมให้คนคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน ซึ่งในเรื่องนี้ที่ประเทศญี่ปุ่นให้ความสำคัญมาก ดูได้จากบทลงโทษทางจราจรของญี่ปุ่นที่ค่อนข้างรุนแรง ที่สำคัญ  TTIB เองก็อยู่ในธุรกิจในสายยานยนต์ จึงทำให้โครงการนี้ยิ่งมีความหมายมากขึ้นไปอีก โดยที่เราไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการทำกำไรเป็นหลัก เพราะหากบริษัทสามารถช่วยให้คนไทยที่ใช้รถจักรยานยนต์เข้าถึง และสวมใส่หมวกกันน็อคมากขึ้นเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับตัวเองได้ ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมากต่อผู้เอาประกันภัยเอง และเป็นความอิ่มใจของเราในฐานะผู้ให้บริการการบริหารจัดการความเสี่ยง

“โครงการ “มอไซค์ใจสู้” นี้ ไม่ได้มุ่งหวังกำไรเป็นหลัก แต่บริษัท ฯ อยากเป็นส่วนหนึ่งให้ช่วยสร้างสังคมไทยที่มีความปลอดภัยทางท้องถนนมากขึ้น พร้อมต้องการสร้างประสบการณ์และทัศนคติที่ดีต่อการบริหารความเสี่ยงให้กับลูกค้า เพื่อก้าวสู่สังคมที่ยั่งยืนต่อไป” คุณโคอิเดะย้ำ

ด้าน คุณยูจีน ฟง จูนเซียง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยไพบูลย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TPB กล่าวว่า  มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการจัดทำโปรโมชั่นพิเศษร่วมกับ TTIB ในการมอบ “หมวกกันน็อค” ให้กับลูกค้าที่ซื้อประกันภัยรถจักรยานยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 2+ ของไทยไพบูลย์ประกันภัย “ทุกกรมธรรม์” ซึ่งจะช่วยส่งเสริมจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้กับลูกค้าของบริษัทฯ ร่วมไปกับการเคารพกฎจราจร  และสอดคล้องกับกลยุทธ์ของการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ ในอนาคต อีกทั้งเป็นการสร้างแบรนด์ให้คนรู้จักไทยไพบูลย์ฯ มากขึ้นด้วย

“จากการที่บริษัทฯ มีการเติบโตในพอร์ตประกันภัยรถจักรยานยนต์ (มอเตอร์ไซค์) และเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทประกันภัยที่รับประกันรถจักรยานยนต์ และได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้เอาประกันภัย ด้วยประสบการณ์ในการรับประกันภัยมอเตอร์ไซค์ให้กับไรเดอร์ของกลุ่มธุรกิจรับส่งอาหาร หรือฟู้ดเดลิเวอรี่ (Food Delivery) อย่างแบรนด์ Gojek  และ food panda โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ซึ่งมีประกาศล็อคดาวน์ ส่งผลให้ธุรกิจนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดดพร้อมกับจำนวนไรเดอร์เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลนั้น การเข้าไปช่วยดูแลประกันภัยให้เหล่าไรเดอร์ในช่วงเวลาดังกล่าวทำให้บริษัทฯ มีความเข้าใจ Journey ของธุรกิจเป็นอย่างดี และสามารถประเมินความเสี่ยงภัยในภาคธุรกิจนี้ได้อย่างรอบด้าน และออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการ มีความคุ้มครองที่ครอบคลุม คุ้มค่ากับผู้เอาประกันภัย จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการทำผลิตภัณฑ์ร่วมกับ TTIB โดยมองว่าโครงการ “มอไซค์ใจสู้” จะมุ่งเน้นเป็นการทำกิจกรรมเพื่อสังคมร่วมกันเป็นหลัก ตั้งใจให้เป็นเป็นจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจร่วมกันในส่วนของงานประกันภัยประเภทอื่น ๆ ต่อไปในอนาคต”

คุณยูจีน กล่าวด้วยว่า โครงการ “มอไซค์ใจสู้” นี้น่าสนใจ ด้วยความเป็นโปรเจคไฮไลท์สำหรับลูกค้ารายย่อยเป็นหลัก ซึ่งตรงกับกลุ่มเป้าหมายของบริษัทฯ ที่ฐานลูกค้า 95% เป็นกลุ่มลูกค้ารายย่อยอยู่แล้ว และยังสอดคล้องกับนโยบายในปีนี้ ที่ต้องการโฟกัสไปที่การสร้างแบรนด์ (Branding Promotion) ทำให้ลูกค้ารู้จักบริษัทฯ มากขึ้น ในฐานะของบริษัทประกันภัยแห่งแรกของคนไทยที่ได้รับความไว้วางใจมาอย่างยาวนาน และกำลังจะครบ 100 ปี ในอีกไม่ช้า

ในส่วนของการทำตลาดของปีนี้ ไทยไพบูลย์ ฯ จะไม่เน้นการสร้างยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการ Maintain Market หรือรักษาตลาดไว้ได้อย่างมีคุณภาพ โดยจะมีอัปเกรดระบบการบริการด้วยการหันมาใช้เทคโนโลยีและระบบดิจิทัลให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น BOT หรือ AI สำหรับรองรับฐานข้อมูลระดับ Big Data ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม สามารถบริหารจัดการการเติบโตของพอร์ต และรักษามาตรฐานการบริการให้กับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราการเติบโตรายปีอยู่ที่ประมาณ 5% ทุกปี และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยปัจจุบันมีลูกค้า พ.ร.บ. อยู่ที่ 1 ล้านราย และลูกค้าประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลประมาณ 4 แสนราย

สำหรับพันธมิตรทางธุรกิจ TPB ใช้หลัก “ใจแลกใจ” เพราะไทยไพบูลย์ฯ ถือคติเมื่อร่วมงานเป็นพันธมิตรกันแล้ว เราต้องการทำงานร่วมกันในระยะยาว ให้ทั้งเราทั้งคู่ค้าเติบโตไปด้วยกันอย่างมีคุณภาพและยั่งยืนไปด้วยกัน นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงยึดถือนโยบาย “ไม่ตัดราคา” และยังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโตด้วยการออกแบบสินค้าและบริการด้วยค่าเบี้ยประกันที่เหมาะสมกับกลุ่มลูกค้า เพื่อให้บริษัทฯ อยู่ได้ ในขณะที่ผู้เอาประกันภัยมีความพึงพอใจในผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ และความคุ้มค่าที่ได้รับ

บริษัทไทยไพบูลย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทประกันภัยแห่งแรกของคนไทย มีประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 95 ปี โดยมีดัชนีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio: CAR) ตามหลักเกณฑ์การกำกับเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง (Risk Based Capital: RBC) ที่ คปภ.กำหนด  763.10% (ข้อมูลการเงิน ณ 30 กันยายน 2566) และมีทุนจดทะเบียน 1,060.5 ล้านบาท