ความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯสุงขึ้น หากทรัมป์ชนะเลือกตั้ง 5 พย.นี้

0
20

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้  การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ วันที่ 5 พ.ย. 2567 ที่จะถึงนี้ไม่ว่าพรรคใดจะชนะการเลือกตั้ง ทั้งสองพรรคมีแนวโน้มที่จะยังคงสานต่อนโยบายการกีดกันการค้ากับจีนแต่ในระดับที่ต่างกัน อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะเพิ่มการขาดดุลทางการคลังตามนโยบายการใช้จ่ายทางการคลังและภาษีที่แตกต่างกันออกไป

ท่ามกลางความท้าทายทางการคลังของสหรัฐฯ ที่ประธานาธิบดีคนใหม่ต้องเผชิญ จากระดับหนี้สาธารณะ การขาดดุลทางการคลัง การจ่ายดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สะท้อนภาพชะลอตัวลง ขณะที่การผ่านร่างกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการคลังยังขี้นอยู่กับเสียงข้างมากในสภาคองเกรส

ซึ่งผลการเลือกตั้งสามารถแบ่งได้ 3 กรณี ที่จะส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ค่าเงิน รวมถึงสถานะทางการคลังของสหรัฐฯ ที่แตกต่างกัน ดังนี้ 

กรณี 1 พรรครีพับลิกันนำโดย โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งและสามารถครองเสียงข้างมากทั้งสภาบนและสภาล่าง (Republican Sweep):  มีความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะเผชิญกับ Stagflation ในระยะยาวจากมาตรการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้า มาตรการกีดกันแรงงานอพยพ และมาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและครัวเรือน ที่คาดว่าจะส่งผลให้การขาดดุลการคลังเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ ค่าเงินดอลลาร์ฯ มีแนวโน้มแข็งค่าในระยะสั้น 

กรณี 2 พรรคเดโมแครตนำโดย คามาลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้งและสามารถครองเสียงข้างมากทั้งสภาบนและสภาล่าง (Democratic Sweep): เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยความเสี่ยงเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในระดับที่จัดการได้ และการขาดดุลการคลังคาดว่าจะไม่สูงเท่ากรณี 1 

กรณี 3 ไม่มีพรรคไหนครองเสียงข้างมากได้ทั้งสองสภา (Split Congress or Divided Government): ความเสี่ยง stagflation ยังมีอยู่ หากโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2025 ยังไม่แน่นอน เนื่องจากนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายทางการคลังอาจต้องใช้เวลากว่าจะผ่านมติสภา 

สรุปผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจสหรัฐในระยะข้างหน้า

 กรณี 1: พรรครีพับลิกันนำโดยโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งและสามารถครองเสียงข้างมากทั้งสภาบนและสภาล่าง  (Republican Sweep) กรณี 2: พรรคเดโมแครตนำโดย คามาลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้งและสามารถครองเสียงข้างมากทั้งสภาบนและสภาล่าง   (Democratic Sweep) กรณี 3: ไม่มีพรรคไหนครองเสียงข้างมากได้ทั้งสองสภา   (Split Congress or Divided Government) 
เศรษฐกิจ ความเสี่ยงเกิด stagflation ในระยะยาว  มาตรการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าคาดว่าจะสร้างผลกระทบต่อการใช้จ่ายครัวเรือนและค่าครองชีพที่สูงขึ้น มาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและครัวเรือน ส่งผลต่อการขาดดุลการคลังที่สูงขึ้น  มาตรการกีดกันแรงงานอพยพคาดว่าจะส่งผลให้ค่าแรงปรับเพิ่มสูงขึ้น   อย่างไรก็ดี คาดว่ามาตรการลดภาษีและมาตรการสนับสนุนการผลิตในประเทศอาจช่วยสนับสนุนการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ได้ในระยะสั้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยความเสี่ยงเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในระดับที่จัดการได้ และธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ยังสามารถดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อเนื่อง  มาตรการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและครัวเรือนรายได้สูง ช่วยชดเชยรายจ่ายภาครัฐด้านสวัสดิการที่สูงขึ้น ดังนั้นการขาดดุลการคลังและแรงกดดันเงินเฟ้อคาดว่าจะไม่สูงเท่ากรณี 1   ความเสี่ยง stagflation ยังมีอยู่ หาก โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี เนื่องจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ สามารถใช้อำนาจผ่าน “Executive Order” ในการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ โดยไม่ต้องผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส หากพบว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ  ผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2025 ยังไม่แน่นอน เนื่องจากนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายทางการคลังอาจต้องใช้เวลากว่าจะผ่านมติสภา   
ค่าเงินดอลลาร์ฯ ค่าเงินดอลลาร์ฯ มีแนวโน้มแข็งค่าในระยะสั้น จากนโยบายการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นและเฟด อาจไม่สามารถผ่อนคลายนโยบายการเงินได้เท่าที่ควร รวมถึงการขาดดุลทางการคลังที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับเพิ่มสูงขึ้น  ค่าเงินดอลลาร์ฯ มีแนวโน้มอ่อนค่ากว่าในกรณี 1 เป็นผลมาจากแนวโน้มการขาดดุลการคลังของนโยบายของเดโมแครตที่น้อยกว่า และมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่รุนแรงเท่า หาก โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีฯ ค่าเงินดอลลาร์ฯ อาจผันผวนไปทางแข็งค่าในระยะสั้น แต่คงขึ้นอยู่กับการผ่านร่างกฎหมายและนโยบายต่างๆ เป็นสำคัญ   
สถานะทางการคลัง และทิศทางผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ แผนของ โดนัลด์ ทรัมป์ คาดว่าจะทำให้การขาดดุลงบประมาณสูงขึ้นโดยประมาณ 7.75 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ในระยะเวลา 10 ปี ข้างหน้า (หรือคิดเป็น 9.7% ของ GDP ในปี 2035) สูงกว่าแผนของ คามาลา แฮร์ริส ที่คาดว่าจะทำให้การขาดดุลเพิ่มขึ้น 3.95 ล้านล้านดอลลาร์ฯ ในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า โดยอ้างตามแบบจำลองของ Committee for a Responsible Federal Budget (CRFB) ณ เดือน ต.ค. 2024   การขาดดุลทางการคลังที่สูงขึ้นคาดว่าจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวเพิ่มสูงขึ้น และจะส่งผลต่อความสามารถในการออกมาตรการกระตุ้นทางการคลังในระยะข้างหน้า ท่ามกลางหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูง ความเสี่ยงทางการคลังจากการขาดดุลและหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น แต่น้อยกว่ากรณี 1 ตามแผนนโยบาย คามาลา แฮร์ริส  แม้การใช้จ่ายทางการคลังมีแนวโน้มสูงกว่าแผนการใช้จ่ายของ โดนัลด์ ทรัมป์ จากการเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลกลางสำหรับที่อยู่อาศัยและการดูแลสุขภาพ เป็นต้น อย่างไรก็ดี คาดการณ์รายได้รัฐบาลตามแผนของ คามาลา แฮร์ริส นั้นคาดว่าจะสูงกว่าแผนของ โดนัลด์ ทรัมป์  เนื่องจากแผนของ โดนัลด์ ทรัมป์ มุ่งเน้นการลดภาษี ส่งผลให้การขาดดุลทางการคลังตามแผนของ คามาลา แฮร์ริส มีแนวโน้มต่ำกว่า   ความผันผวนของตลาดเงินโลกมีแนวโน้มสูงกว่ากรณี 1 และ 2 จากการเจรจาเรื่องเพดานหนี้อาจเผชิญความยากลำบากมากขึ้น ซึ่งจะสร้างความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะผิดนัดชำระให้เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังตลาดการเงิน โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลมีทิศทางสูงขึ้น ค่าเงินดอลลาร์ฯ มีทิศทางอ่อนค่าลง และอาจเกิดกระแสเงินไหลออกจากตลาดทุนสหรัฐฯ