ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย รายงานผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในอาเซียน หรือ ASEAN Consumer Sentiment Study (ACSS) ประจำปี 2568 ที่จัดทำร่วมกับบริษัท Boston Consulting Group (BCG) โดยสำรวจความคิดเห็นผู้บริโภค 5,000 คนใน 5 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2568 พบว่าผู้บริโภคไทย 39%เชื่อมั่น โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากปีก่อน แต่ยังบริหารการเงินอย่างรอบคอบ และใช้จ่ายในหมวดที่มีความสำคัญ เช่น สุขภาพ การศึกษา และคุณภาพชีวิต สะท้อนการปรับวิถีชีวิตสู่ความยั่งยืนและการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง
นายยุทธชัย เตยะราชกุล กรรมการผู้จัดการ บุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจที่ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคไทยกำลังรักษาความสมดุลระหว่างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจและการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ซึ่งนอกเหนือจากค่าใช้จ่ายประจำวันแล้ว 44% ของคนไทยที่ตอบแบบสอบถาม ใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในด้านการศึกษา สุขภาพ และคุณภาพชีวิต สะท้อนถึงความตระหนักต่ออายุที่ยืนยาวและความเป็นอยู่ที่ดี โดยกว่าครึ่งคาดว่าจะเกษียณหลังอายุ 60 ปี โดยมีเงินออมเพื่อการเกษียณของกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป (รายได้ต่อเดือนน้อยกว่า 50,000 บาท) เป้าหมายเฉลี่ย 3.9 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง (รายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 200,000 บาท) ตั้งเป้าเฉลี่ยที่ 10.5 ล้านบาท
แสดงให้เห็นว่า .ผู้บริโภคชาวไทยมีความพร้อมในการเตรียมตัวเกษียณมากขึ้น มีการวางแผนการเงินเพื่อเตรียมชิวิตหลังเกษียณ มีการแผนการเงินด้านประกันสุขภาพและการประกันชีวิตมากขึ้น รวมไปถึงการวางแผนการลงทุน โดยกลุ่ม Wealth วางแผนมากขึ้น 15% ขณะที่เด็กรุ่นใหม่ Gen Z มีความเข้าใจด้านการลงทุนและวางแผนการลงทุนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่เพิ่มมากขึ้นในด้านการศึกษา และคุณภาพชีวิตแล้ว ค่าใช้จ่ายในส่วนของความต้องการ หรือ want ก็มีการเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ต หรือสินค้าเพื่อสุขภาพต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Gen Y และZ) จำนวน 3 ใน 4 ยินดีที่จะจ่ายมากขึ้น และจำนวน 72% พร้อมที่จะกู้เงินเพื่อมาซื้อสิ่งที่ตอบสนองความต้องการที่อยากได้โดยไม่มีความกังวลใดๆ
“คนไทยรุ่นใหม่มีความเข้าใจด้านดิจิทัลและเปิดรับการเรียนรู้เกี่ยวกับการวางแผนและบริหารการเงิน แต่หลายคนทัศนคติในการใช้เงิน และความไม่มั่นคงของรายได้ เป็นอุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายเงินในระยะยาว ซึ่งธนาคารมีเป้าหมายช่วยลดช่องว่างเหล่านี้ผ่านวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบ ทั้งการวางแผนด้านสุขภาพเชิงองกัน การทำประกันเพื่อคุ้มครองค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด และการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง เพื่อช่วยให้มีอิสระในการใช้ชีวิต โดยไม่กระทบต่อความมั่นคงทางการเงิน”
นายจอห์น วากเนอร์ กรรมการผู้จัดการ และพาร์ทเนอร์ บีซีจี ประเทศไทย กล่าวว่า แม้ความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังคงอยู่ในระดับต่ำ คนไทยกังวลกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น แต่ยังสามารถปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายให้เหมาะสมกับสถานการณ์ อีกทั้งเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆแล้วความเสี่ยงเศรษฐกิจประเทศไทยมีน้อยกว่า แม้การเมืองจะเปลี่ยนแปลงบ่อย จีดีพีเติบโตน้อย แต่ไทยเป็นประเทศที่มีความยืดหยุ่น เห็นได้จากผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสงครามการค้า ไทยได้รับผลกระทบน้อยกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม ความมั่งคั่งของคนไทยเป็นความมั่งคั่งที่ไม่กระจาย โดยกว่า 67% อยู่ในกลุ่มคนแค่ 10% หรือเงินจำนวนมากอยู่ในมือคนกลุ่มน้อย เป็นตัวเลขมากที่สุดในอาเซียน อีกทั้งพฤติกรรมผู้คนในปัจจุบัน แม้เศรษฐกิจไม่ดี แต่กลุ่มคนที่มีฐานรายได้ที่สูง ยังคงต้องการใช้จ่ายสนองความต้องการตัวเอง โดย 66% ยินดีจะกู้เงินเพื่อยกระดับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง สะท้อนจากหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี มากว่า 80% สูงที่สุดในอาเซียน
โซเชียลมีเดียหนุนการมีส่วนร่วมมากกว่าสร้างยอดขายทันที
ผลสำรวจจาก ACSS 2568 ระบุว่า ผู้บริโภคชาวไทยร้อยละ 45 ซื้อสินค้าผ่านโซเชียลมีเดียมากขึ้นในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา แต่ร้อยละ 47 ใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อนานขึ้น หลายคนเข้าร่วมไลฟ์สตรีมเพื่อความบันเทิง เปรียบเทียบสินค้า และชะลอการตัดสินใจซื้อ ซึ่งแม้จะทำให้การสร้างยอดขายทันทีลดลง แต่กลับช่วยเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและการจดจำแบรนด์มากขึ้น
เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ธนาคารยูโอบีได้ผสานเทคโนโลยี AI มาพัฒนาฟีเจอร์ Smart Insights บนแอป UOB TMRW เพื่อช่วยติดตามรูปแบบการใช้จ่าย แจ้งเตือนค่าใช้จ่ายล่วงหน้า และแนะนำแนวทางสู่พฤติกรรมทางการเงินที่ยั่งยืน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถรักษาสมดุลระหว่างการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง และการสร้างความมั่นคงทางการเงิน
ความมั่นใจทางการเงินเติบโตควบคู่กับพฤติกรรมการออมที่เปลี่ยนแปลงไป
ผลสำรวจพบว่า ผู้บริโภคไทยร้อยละ 87 มีความมั่นใจในการบริหารการเงินส่วนบุคคลของตนเอง และกว่า 7 ใน 10 (ร้อยละ 74) มีการออมเงินมากกว่าร้อยละ 10 ของรายได้ โดยในกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 88 ซึ่งข้อมูลจากธนาคารยูโอบี ประเทศไทย สะท้อนถึงแนวโน้มนี้เช่นกัน โดยพบว่ายอดเงินฝากของลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงเติบโตขึ้นร้อยละ 21 ขณะที่ลูกค้ากลุ่ม Gen Z มีบทบาทสำคัญในการเร่งการเติบโตของจำนวนบัญชีเงินฝากในกลุ่มลูกค้ายูโอบี ด้วยการเปิดบัญชีใหม่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 48 สะท้อนความสนใจในการออมเงินของกลุ่มคนรุ่นใหม่







