ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คงประมาณการ GDP ปี 66 ที่ 3.7% ครึ่งปีหลังห่วง 3 โจทย์หิน การจัดตั้งรัฐบาล ภัยแล้ง หนี้สูง

0
101

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คงประมาณการจีดีพีปี 2566 ไว้ที่ 3.7% แม้เศรษฐกิจครึ่งปีหลังมีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าจากแรงหนุนฤดูกาลท่องเที่ยว  แต่ปรับลดการบริโภคภาครัฐบาลและการลงทุน รอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่  ห่วง 3 โจทย์ใหญ่ เศรษฐกิจจีนเริ่มอ่อนแรง คงตัวเลขการส่งออกไว้ที่ -1.2%  ภัยแล้งที่มีโอกาสรุนแรงกว่าคาด และหนี้ครัวเรือนสูงกดดันเศรษฐกิจ   

นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลัง  มีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าครึ่งปีแรก  จากแรงหนุนฤดูกาลท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 28.5 ล้านคน  ส่งผลให้จีดีพีในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะขยายตัว 4.3% จากช่วงครึ่งปีแรกที่ 3.0%  อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญหลายโจทย์สำคัญที่ท้าทายในช่วงครึ่งปีหลัง โดยโจทย์แรก คือ การจัดตั้งรัฐบาล และการรับมือกับทิศทางเศรษฐกิจจีนที่เริ่มเห็นสัญญาณอ่อนแรง ซึ่งส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจอาเซียนและไทยที่พึ่งพาเศรษฐกิจจีนค่อนข้างสูง  โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังคงประมาณการจีดีพีปี 2566 ที่ 3.7% คงตัวเลขการส่งออกไว้ที่ -1.2% ปรับลดการบริโภคภาครัฐบาลและการลงทุน รอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่มีความซับซ้อนเป็นโจทย์ที่รอการแก้ไข

นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ปัญหาภัยแล้งเป็นอีกโจทย์ใหญ่ ที่นอกจากจะส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรที่อาจคิดเป็นมูลค่าราว 4.8 หมื่นล้านบาทในปีนี้แล้ว ปรากฏการณ์เอลนีโญรอบนี้ อาจกดดันภาคการผลิตและบริการที่ใช้น้ำในสัดส่วนสูง ได้แก่ อโลหะ อาหาร สิ่งทอ ท่องเที่ยว โรงพยาบาล โดยเฉพาะกับธุรกิจที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกและภาคกลาง ซึ่งมีโอกาสประสบกับสถานการณ์น้ำที่อยู่ในเกณฑ์น้อย หรือน้อยจนเข้าขั้นวิกฤต

นอกจากนี้ การขาดแคลนน้ำ อาจทำให้ธุรกิจต้องลดกำลังการผลิตหรือจำกัดการให้บริการ ส่งผลตามมาให้มีการสูญเสียรายได้ และสำหรับบางอุตสาหกรรมอย่างเช่นอาหาร ยังมีต้นทุนวัตถุดิบเกษตรที่จะสูงขึ้นด้วย ขณะที่ ประเด็นข้อกังวลเพิ่มเติมคือ ภัยแล้งข้างต้น อาจลากยาวไปถึงปี 2567 ด้วยโอกาสของความรุนแรงที่อาจมากกว่าในปี 2566  

นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนจะอยู่ในกรอบประมาณ 88.5-91.0% ในช่วงปลายปี 2566 จากระดับ 90.6% ณ สิ้นไตรมาส 1 ของปี 2566 คืออีกโจทย์ใหญ่ที่รอการแก้ไข  ซึ่งสัดส่วนหนี้ดังกล่าว คงไม่ลดลงแตะ 80% ซึ่งเป็นระดับที่ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank of International Sattlements: BIS) มองว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวต่อได้โดยไม่สะดุดภายในอีก 5 ปีข้างหน้านี้ ขณะที่ มาตรการจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะทำให้หนี้ใหม่โตช้าลง และหนี้เก่าลดลงเร็วขึ้นกว่าเดิม

ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้จัดทำผลสำรวจภาวะหนี้สินครัวเรือนในเขตกรุงเทพและปริมณฑลจำนวน 400 ตัวอย่าง ซึ่งย้ำภาพความน่ากังวลของปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้น้อย ขณะที่ ลูกหนี้ที่ตอบแบบสอบถามให้น้ำหนักปัจจัยด้าน ‘รายได้’ ในการปิดหนี้อย่างยั่งยืน ส่วนมาตรการแก้หนี้ของ ธปท. ที่จะเริ่มจากการแก้ไขหนี้เรื้อรัง (Persistent Debts) สำหรับลูกหนี้บุคคลที่มีลักษณะวงเงินหมุนเวียน (Revolving Personal Loans) ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อให้ลูกหนี้ผ่อนให้จบภายในเวลาราว 4 ปีนั้น คงมีผลกระทบต่อธนาคารพาณิชย์ในวงจำกัด ในเบื้องต้นคาดว่าจะไม่เกิน 2% ของกำไรสุทธิของระบบธนาคารพาณิชย์ไทย เพียงแต่ลูกหนี้อาจต้องเตรียมตัวผ่อนชำระต่อเดือนในจำนวนที่สูงขึ้นกว่าเดิม

“อยากเห็นรัฐบาลใหม่เข้ามาดูแลหนี้ก้อนใหญ่ ที่แก้ยากอย่างจริงจัง คือ เกษตร ครู และข้าราชการ (เฉพาะหนี้ครูและข้าราชการตำรวจก็มีสัดส่วนประมาณ 10.5% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด) รวมถึงหนี้ที่ย้ายออกจากระบบไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) อีกหลักแสนล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมา ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการที่เคยออกมาแล้วอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังประกอบด้วยหนี้บุคคลและหนี้ธุรกิจรายย่อย อันจะมีผลต่อความสามารถในการดำรงชีพของครัวเรือนและธุรกิจฐานรากของไทยในระยะข้างหน้า”