ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคงประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 2564 ไว้ที่เติบโต 2.6% โดยขยับกรอบประมาณการทั้งกรอบล่างและกรอบบนอยู่ที่ 0.8 – 3% จากเดือนธันวาคม ที่เคยประมาณการไว้ที่ 0.0-4.5%
เศรษฐกิจโลกผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
ไทยฟื้นช้า พึ่งพาท่องเที่ยวต่างชาติสูง
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า กรอบประมาณการใหม่สะท้อนความเสี่ยงขาลงต่อเศรษฐกิจที่ลดลง ตามความคืบหน้าของการกระจายวัคซีนและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในเศรษฐกิจหลัก เป็นผลบวกต่อการส่งออกที่น่าจะเติบโตได้ 4.5% จากรอบที่แล้วที่คาดการณ์ไว้ 3% แต่ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงจากการประเมินเมื่อเดือนธันวาคม ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคงระดับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้ไว้ที่ 2.6% แต่ปรับกรอบให้แคบลงเป็น 0.8 – 3% จากเดิม 0.0-4.5%
ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงการเริ่มฉีดวัคซีนในประเทศไทยตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และการระบาดระลอกใหม่ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยไม่มีการล็อคดาวน์ทั่วประเทศเหมือนครั้งแรก หรือหากมีการระบาดใหม่ ก็คงเป็นระลอกเล็กๆในบางพื้นที่และล็อคดาวน์เป็นบางจุด ทำให้ตัวเลขทางเศรษฐกิจไม่ลดลงไปกว่านี้ จึงปรับประมาณการกรอบการเติบโตกรอบล่างใหม่ ซึ่งหากนักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยกว่า 2 ล้านคน GDP มีโอกาสเป็น 0.8% แต่ถ้ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า 2 ล้านคน อาจทำให้เศรษฐกิจไทยโตไปถึง 3% ได้
ขณะที่การปรับลดกรอบบนสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้าและใช้เวลานานกว่าการฟื้นเศรษฐกิจโลก เนื่องจากพึ่งพิงรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูง ทำให้แปรผันตามความก้าวหน้าของการกระจายวัคซีนและการเปิดรับนักท่องเที่ยวของไทยเป็นสำคัญ
วัคซีน ตัวแปรสำคัญดันนักท่องเที่ยวทะลุ 2 ล้านคน
นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยของวัคซีน หากมีนโยบายเปิดให้เดินทางและฉีดวันซีนได้ตามระยะเวลาที่กำหนด การใช้วัคซีนพาสปอร์ตมีความชัดเจน ความคืบหน้าของจำนวนผู้ได้รับวัคซีนในประเทศไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเริ่มเข้ามาในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไฮซีซัน โดยประเมินตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในปี 2564 ไว้ที่ 2 ล้านคน
ทั้งนี้จากอัตราการฉีดวัคซีนของตลาดสำคัญ 10 แห่งไปถึงช่วงเดือนกันยายน ประเมินได้ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยจาก 10 ตลาดสำคัญ (ได้แก่ จีน ยุโรปตะวันตก สหรัฐฯ รัสเซีย เอเชียและอาเซียนบางประเทศ) อาจทำได้ราว 1.9 ล้านคน ซึ่งเมื่อรวมกับช่วง 9 เดือนแรกของปี จึงเห็นว่าตัวเลข 2 ล้านคนในปี 2564 ยังมีความเป็นไปได้ ภายใต้เงื่อนไขวัคซีนพาสปอร์ตสามารถดำเนินการได้ หรือการเดินทางระหว่างประเทศมีข้อจำกัดน้อยลง ไทย เช่น การลดจำนวนวันกักตัวในประเทศไทยจากเดิมที่วางไว้ 14 วัน และนโยบายของแต่ละประเทศเปิดให้เดินทางมาท่องเที่ยวไทยหรือไม่ รวมถึงการกลับไปกักตัวหลังจากท่องเที่ยวในไทยแล้ว ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าไทย จำเป็นที่ผู้เกี่ยวข้องในภาคการท่องเที่ยวจะต้องได้รับวัคซีน
และหากประเมินจากการจ้างงานในธุรกิจโรงแรมในพื้นที่ 20 จังหวัดที่พึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติ อาจต้องการวัคซีนอย่างน้อย 2.2 แสนโดส ก่อนเดือนตุลาคม ไตรมาสสุดท้ายที่จะเปิดประเทศ ซึ่งเบื้องต้นทางการอยู่ระหว่างพิจารณาและมีความเป็นไปได้
“ไตรมาส 4 เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของไทย มองว่าภายใต้สมมุติฐานการเปิดประเทศ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยปีนี้ 2 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศ 2.2 แสนล้านบาท โดยเป็นนักท่องเที่ยวช่วงไตรมาส 4 จำนวน 1.9 ล้านคน แต่ทั้งนี้ต้องดูการฉีดวัคซีนประเทศต้นทาง 10 ตลาดหลัก ประกอบด้วยว่ากลุ่มที่ได้รับการฉีดวัคซีน อาจไม่ใช่กลุ่มที่เป็นนักเดินทาง เช่น บุคลากรทางการแพทย์ เป็นต้น”
สำหรับเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวเที่ยวต่างชาติ 2 ล้านคนในปี 2564 เมื่อเทียบกับ 6.7 ล้านคนในปี 2563 คาดว่าต้องใช้เวลาในการฟื้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอีกสักระยะ ประมาณปี 2566-2567 นักท่องเที่ยวต่างชาติถึงจึงจะกลับมาปกติเหมือนปี 2562 ก่อนวิกฤตโควิด19แพร่ระบาด ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยว 39 ล้านคน ช่วงนี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยยังต้องพึ่งพาตลาดไทยเที่ยวไทยเป็นหลัก

หนี้ครัวเรือนต่อ GDP สูงถึง 89-91%
ตามติดคุณภาพหนี้ไปอีก 1-2 ปีข้างหน้า
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวถึงผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย 300 ตัวอย่าง พบว่าหนี้ครัวเรือนยังค้างอยู่ในระดับสูง ครัวเรือนยังกังวลกับสถานการณ์รายได้ลด ปัญหาค่าครองชีพ และภาระหนี้สูง ทำให้มี 10.8% ของผู้ตอบแบบสอบถาม มีภาวะทางการเงินเสี่ยงต่อวิกฤต โดยมีสัดส่วนภาระหน้ต่อรายได้มากกว่า 50% จากรายได้ลดลงเเต่ค่าใช้จ่ายไม่ลดตาม
โดยหนี้ครัวเรือน ปีที่ผ่านมาคาดการณ์ที่ 89.2% และสิ้นปี 2564 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 89-91% ต่อจีดีพี ซึ่งเป็นขาขึ้น ภายใต้เศรษฐกิจที่โตตามหนี้ไม่ทัน แต่ก็เป็นขาขึ้นพร้อมๆกับประเทศอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก
ทั้งนี้ในปี 2563 หนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 14 ล้านล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นหนี้ที่อยู่ภายใต้การดูแลและรับความช่วยเหลือทางการเงินจากสถาบันการเงินต่างๆที่ 2.79 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 20% ของหนี้ครัวเรือน ซึ่งหลังจากผ่านขั้นตอนการพักชำระหนี้ จะเป็นระยะการเปลี่ยนผ่าน เมื่อเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้นมาตรการช่วยเหลือแบบกระจายทุกกลุ่มเหมือนที่ผ่านมาก็สามารถลดความเข้มข้นลงได้ เพื่อช่วยเหลือทางการเงินเฉพาะกลุ่มที่ยังได้รับผลกระทบอยู่
ดังนั้นการต่ออายุมาตรการดูแลให้กับครัวเรือนเหล่านี้เช่นเดียวกับธุรกิจเอสเอ็มอียังคงเป็นเรื่องจำเป็น และสามารถทำได้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ตามพัฒนาการของระยะหนี้ที่ขอรับความช่วยเหลือทางการเงินจากสถาบันการเงิน ที่น่าจะผ่านจุดที่แย่ที่สุดมาแล้วเช่นเดียวกับทิศทางเศรษฐกิจ
“บนเงื่อนไขภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ลูกหนี้ยังไม่มีรายได้เพียงพอที่จะสามารถกลับมาชำระหนี้ ดังนั้นธนาคารจะต้องดูแลด้านคุณภาพหนี้ต่อไปอีกอย่างน้อย 1-2 ปี โดยคาดว่าหนี้เสียในปี 2564 จะเพิ่มขึ้น เป็น 3.3% จากปลายปีก่อนที่ 3.12% ยังไม่สูงมากเพราะอยู่ในมาตรการผ่อนปรนของรัฐ ”
