ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคงประมาณการ GDP ปี 2564 ไว้ที่ 1.8% จากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั้งการแพร่ระบาดของโควิด19 และการฉีดวัคซีน หากเร่งกระจายวัคซีนได้มากพอใน 2-3 เดือน เศรษฐกิจจะฟื้นตัวชัดเจนขึ้นใน Q4 จับตา 4 โจทย์เศรษฐกิจเฉพาะหน้า ภาระทางการคลัง อัตราเงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือน และต้นทุนธุรกิจที่เพิ่มขึ้น
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยได้ทบทวนประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2564 โดยคงประมาณการไว้ที่ 1.8% ภายใต้สมมติฐานการระบาดระลอก 3 จะบรรเทาลงในช่วงเดือน ก.ค. และมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อการส่งออก โดยปรับประมาณการ การส่งออกจาก 7% เป็น 9% รวมทั้งผลบวกจากมาตรการของภาครัฐที่กำลังทยอยออกมา ไม่ว่าจะเป็นคนละครึ่งเฟส 3 การเติมเงินให้กับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมถึงมาตรการยิ่งใช้ยิ่งได้
ทั้งนี้คาดว่าการเร่งกระจายฉีดวัคซีนจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในเดือนมิ.ย. – ก.ค. ซึ่งหากเร่งฉีดได้ในปริมาณที่มากพอกับการสร้างความเชื่อมั่นของครัวเรือนและธุรกิจ จะทำให้ภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 4 มีทิศทางที่เร่งตัวขึ้น และเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้และปีหน้า
อย่างไรก็ตาม นอกจากเรื่องวัคซีนและการควบคุมสถานการณ์การระบาดของไวรัสแล้ว เศรษฐกิจไทยยังต้องเจอ 4 โจทย์สำคัญ ที่ภาครัฐต้องเตรียมรับมือ ได้แก่ ภาระทางการคลัง เงินเฟ้อ หนี้ครัวเรือน และต้นทุนธุรกิจที่กำลังเพิ่มขึ้น
โจทย์แรก ภาระทางการคลัง แม้ในระยะสั้น การขาดดุลการคลังที่เพิ่มขึ้นและการขยายเพดานหนี้สาธารณะยังไม่น่าจะเป็นประเด็น โดยคงจะเห็นการขยับกรอบเพดานหนี้สาธารณะเกิน 60% ภายในปี 2565 แต่ในระยะกลางถึงยาว หากยังมีการขาดดุลในระดับสูงอย่างต่อเนื่องภายใน 3-5 ปี อาจจะนำมาสู่ประเด็นความเชื่อมั่นทางภาคการคลังของไทย
โจทย์ที่สอง อัตราเงินเฟ้อ แม้จะเป็นปัจจัยชั่วคราวและคงไม่ทำให้ กนง.เปลี่ยนท่าทีนโยบายดอกเบี้ย แต่เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น มาในจังหวะที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัว อีกทั้งหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตได้ดีก็จะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ ส่งสัญญาณถอยออกจากนโยบายการเงินผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE นำมาสู่ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ผ่านอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก กดดันภาคธุรกิจที่เพิ่งจะเริ่มดีขึ้น
โจทย์ที่สาม หนี้ครัวเรือน นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ว่า สถานะการเงินของคนไทยถดถอยมากขึ้น โดยมีจำนวนบัญชีสินเชื่อต่อรายเพิ่มขึ้นจาก 2.1 บัญชีในเดือนมีนาคม เป็น 2.2 บัญชีในเดือนมิถุนายน มีกลุ่มเปราะบางที่เผชิญปัญหารายได้ลด แต่ค่าใช้จ่ายไม่ลด ภาระหนี้สูงเกินกว่า 50% ต่อรายได้ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 10.8% ในโควิดรอบ 2 มาที่ 22.1% ภาระหนี้ต่อรายได้ เฉลี่ยสูงขึ้นจากระดับ 42.8% มาอยู่ที่ 46.9% ซึ่งปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นน่าจะแตะระดับ 90% ต่อจีดีพีภายในปีนี้ จาก 89.3% ในปี 2563 ซึ่งทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องกลับมาดูแลอย่างจริงจัง หลังผ่านโควิดรอบนี้
สำหรับคุณภาพหนี้ ศูนย์วิจัยฯมุมมองว่าจะต้องเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยในสิ้นปีนี้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) น่าจะอยู่ที่ 3.2-3.5% เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่อยู่ 3.12% แม้ว่าไตรมาสแรกจะลดลงมาอยู่ที่ 3.10% ก็ตาม
โจทย์สุดท้าย มีความเชื่อมโยงกับเรื่องเงินเฟ้อ คือ การปรับขึ้นของต้นทุนหรือราคาสินค้าที่มีผลซ้ำเติมผู้ประกอบการธุรกิจ โดยนางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า กระทบต่อธุรกิจซื้อมาขายไปในยามไม่ปกติ ที่โควิดฉุดกำลังซื้อและตลาดมีการแข่งขันสูง ซึ่งผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นเอสเอ็มอี โดยประเมินเบื้องต้นว่า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น 1% จะกระทบค้าปลีก SMEs ประมาณ 23,600-23,800 ล้านบาท ภายใต้เงื่อนไขที่ผู้ประกอบการเผชิญข้อจำกัดในการผลักภาระไปให้กับผู้บริโภค โดยสัดส่วนการรับภาระของผู้ขาย 20% และผู้ซื้อ 80% แม้ภาครัฐจะมีมาตรการช่วยสนับสนุนภาระของผู้ขายให้เหลือ 10% แต่ประชาชนบางส่วนก็ยังไม่สามารถเข้ามาตรการภาครัฐได้ ซึ่งหากเศรษฐกิจดี ปัญหาหรือผลกระทบนี้จะลดลง ทั้งนี้ต้องติดตามความเชื่อมั่นของผู้บริโภคหลังจากนี้ ซึ่งจะมีผลต่อเส้นทางการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีก