วิกฤติโควิด-19 ส่งผลให้มีมาตรการต่างๆออกมาเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้ผลตอบแทนจากการดำเนินธุรกิจลดลง ขณะที่ความเสี่ยงในตลาดเพิ่มมากขึ้น กระตุ้นให้เคทีซีต้องเร่งปรับแผนยุทธศาสตร์ในปี 2564 แบบก้าวกระโดด เพื่อสร้างโอกาสธุรกิจใหม่ให้เติบโตได้มากขึ้นและเร็วขึ้น
2564 ลุย New S-curve
สินเชื่อมีหลักประกัน&ลีสซิ่ง
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เคทีซี เข้าสู่ตลาด “สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ” ทั้งรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ภายใต้แบรนด์ “KTC พี่เบิ้ม” เมื่อปลายในปี 2563 ซึ่งสินเชื่อมีหลักประกันมีความเสี่ยงน้อยกว่าสินเชื่อไม่มีหลักประกัน และให้ผลตอบแทนรวดเร็วสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ถึงแม้ว่าจะมีเจ้าตลาดและผู้เล่นอยู่แล้วหลายราย แต่ยังมี Pain Point และมีโอกาสที่จะเป็น New S-curve ด้วยจุดแข็ง ให้วงเงินใหญ่สูงสุด 7 แสนบาท แม้อัตราดอกเบี้ย 21% จะสูงกว่าคู่แข่งในตลาดที่คิด 18% แต่ไม่มีผลต่อการตัดสินใจ เพราะวงเงินใหญ่ของ “KTC พี่เบิ้ม” ตอบโจทย์ลูกค้าได้
ทั้งนี้โมเดลการตลาดจะเน้นผ่านระบบออนไลน์ โดยมีทีมงาน “พี่เบิ้ม Delivery” ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานกับลูกค้า ตามสถานที่ต่างๆที่ลูกค้านัดหมาย ทุกขั้นตอนการทำงานผ่าน Aplication จึงอนุมัติไว พร้อมรับเงินภายใน 2 ชั่วโมง โดยในปีนี้จะขยายพื้นที่ให้บริการไปต่างจังหวัดมากขึ้น เริ่มต้นที่ภาคตะวันออก ภาคเหนือตอนบนและภาคใต้ตอนบน โดยร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจและธนาคารกรุงไทยในการขยายฐานสมาชิกและออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ๆ โดยตั้งเป้ายอดสินเชื่อไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังได้เข้าถือหุ้นในบริษัท กรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง จำกัด หรือ เคทีบี ลีสซิ่ง ในสัดส่วน 75.05% เตรียมการธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งทุกประเภท เพื่อต่อยอดและขยายขอบเขตธุรกิจสินเชื่อมีหลักประกันอย่างครบวงจร โดยใช้ประโยชน์จากสาขาและฐานลูกค้าที่มีอยู่เดิม โดนเตรียมขออนุมัติผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายน จากนั้นรออนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้วจึงดำเนินการโอนหุ้น จากนั้นเคทีซีจึงจะเข้าไปวางแผนงานได้เต็มตัว โดยเบื้องต้นคาดว่าสิ้นเดือนเมษายน 2564 จะสามารถเริ่มโอนหุ้นได้
คุมเข้มคุณภาพธุรกิจเดิม
สำหรับธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล นายระเฑียร เปิดเผยว่า มุ่งเน้นการรักษาคุณภาพพอร์ตลูกหนี้ที่ดี และรักษาฐานสมาชิกปัจจุบันด้วยการสร้างประสบการณ์ที่ดีผ่านกิจกรรมส่งเสริมการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมทั้งให้ความสำคัญกับระบบปฏิบัติการและระบบไอทีที่มีเสถียรภาพ เพื่อความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยและมั่นใจทุกครั้งที่ทำรายการธุรกรรม
โดยในส่วนของธุรกิจบัตรเครดิต ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านในปี 2564 บัตรเติบโต 8% หรือประมาณ 210,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ลดลง 7.7% ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวในเดือนมีนาคม และคาดว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อย ๆ จนกลับไปใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 โดยยังใช้คะแนน KTC FOREVER ขับเคลื่อนกิจกรรมการตลาด เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการใช้จ่ายผ่านบัตร การขยายความเครือข่ายพันธมิตรคู่ค้า เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านบัตรและสนับสนุนการเติบโตของพันธมิตรด้วยผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ โดยเน้นส่งเสริมการตลาดออนไลน์ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้บัตรที่เปลี่ยนจากใช้เงินสดมาจ่ายผ่านบัตรเครดิต
ทั้งนี้ การขยายฐานสมาชิกบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด “Ktc Proud” จะให้ความสำคัญกับการคัดกรองผู้สมัครมากขึ้น เพื่อให้ได้กลุ่มลูกค้าคุณภาพที่ต้องการสินเชื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและมีวินัยทางการเงิน ลดความเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันและอัตราหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงอยู่ โดยผ่าน 4 ช่องทางหลัก คือ ธนาคารกรุงไทย ผู้แนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงินเคทีซี (อิสระ) ทั่วประเทศ เคทีซี ทัช ทุกสาขา และเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายทางโทรศัพท์ โดยตั้งเป้าจำนวนสมาชิกใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือบัครเครดิต 235,000 ราย และบัตรกดเงินสดเคทีซี พราว 135,000 ราย
“การคัดกรองผู้สมัครมากขึ้น ส่งผลให้การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญในปีนี้ลดลง เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ของปีก่อน ที่มีการตั้งสำรองเพื่อรองรับหนี้เสียที่อาจเกิดขึ้นไว้ค่อนข้างสูง และได้ทำการตัดจำหน่ายหนี้ (Write-off) ในไตรมาส 3 ราว 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูก และเชื่อว่าในปีนี้จะสามารถทำกำไรสุทธินิวไฮได้”นายระเฑียรกล่าว
ตลาดสินเชื่อบุคคลไม่หวือหวา
เน้นรักษาฐานลูกค้าคุณภาพ
นางพิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – ธุรกิจสินเชื่อบุคคล เปิดเผยว่า หลังการระบาดโควิด19 ความสามารถในการชำระคืนของลูกค้าถดถอยลง อัตราการตกงานยังสูง และจากรายงานตัวเลขอุตสาหกรรรมสินเชื่อส่วนบุคคลของธนาคารแห่งประเทศไทยปี 2563 อัตราการเติบโต -5.2% โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ -11% ดังนั้นตลาดโดยภาพรวมจึงไม่หวือหวาเหมือนที่ผ่านมาที่เคยเติบโตปีละ 2 ดิจิต
สำหรับเคทีซีจะให้ความสำคัญกับคุณภาพลูกหนี้มากกว่าการเติบโต โดยรักษาลูกค้า Ktc Proud 8 แสนบัญชี พอร์ตสินเชื่อ 27,000 ล้านบาท ซึ่งจุดเด่นของ Ktc Proud คือทำสัญญาครั้งเดียวสามารถ Rovolving ได้ตลอด และแคมเปญ เคลียร์หนี้ ที่ทำมาแล้ว 12 ซีซั่น วงเงินปีละ 4-5 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าเชื่อมั่นและอยู่กับเคทีซีมาโดยตลอด รวมไปถึงการจัดสัมมนา Financial Literlacy ฝึกทักษาะความรู้วิชาชีพ ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 แล้ว
“จากเดิมที่เคยเป็น Rising Star เมื่อ ธปท.ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลทั้งระบบจาก 28% มาอยู่ที่ 25% จึงต้องปรับกระบวนทัพใหม่ ด้วย Approve Rate ที่เข้มข้นและคัดกรองลูกค้ามากขึ้น ซึ่งหลังจากเดือน สิงหาคม 2563คุณภาพลูกหนี้ดีขึ้น อัตราผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้ใหม่ๆน้อยลงมาก ” นางพิชามนกล่าว
สร้างวัฒนธรรมเรียนรู้ในองค์กร
พัฒนาคนพร้อมรับ Infinite Game
นายระเฑียร กล่าวว่า เคทีซีมีแผนรีเอ็นจิเนียริ่งองค์กรตั้งแต่ก่อนเกิดโควิด 19 ซึ่ง ตอนนั้นไม่คิดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจ เช่นการลดอัตราดอกเบี้ย เคทีซีจึงต้องปรับแผนค่อนข้างมาก เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งใจว่าเมื่อถึงวันครบวาระ เคทีซีจะต้องดีกว่าเดิม
ทั้งนี้ได้ปรับแผนการทำงาน โดยเปิดโอกาสคนรุ่นใหม่ได้แสดงศักยภาพ ขณะที่ผู้บริหารเดิมจะทำหน้าที่เป็นโค้ช ซึ่งจากนี้ไปจะได้เห็นการทยอยปรับผู้บริหารขึ้นเป็นโค้ช พร้อมดันคนรุ่นใหม่ที่มีความพร้อมขึ้นมาบริหารงานแทน ตัวอย่างเช่น พิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจสินเชื่อบุคคล และ เรือนแก้ว เกษมสวัสดิ์ศรี ผู้อำนวยการ-ธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ “เคทีซี พี่เบิ้ม” ซึ่งจะให้โอกาสคนในองค์กรก่อน ยกเว้นกรณีมีโครงสร้างใหม่ๆที่เรายังไม่แข็งแรงพอจำเป็นต้องใช้คนนอกที่มีความรู้ แต่เป็นคนนอกที่มีเลือดเดียวกับเรา คิดเหมือนเรา มีวิธีคิดเหมือนเรา ซึ่งต้องได้เห็นแน่นอน
“ผมเชื่อมั่นในโค้ชและพนักงานของผม โดยเฉพาะโค้ช เขาผ่านสนามและปัญหาต่างๆมามาก มีสกิลในการบริหารพาร์ตเนอร์ที่เป็นทั้งพันธมิตรและคู่แข่ง ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญในการให้คำปรึกษาภาพรวมธุรกิจและการแข่งขัน ผู้บริหารรุ่นใหม่จะได้ระวังว่าเคสแบบนี้อาจทำให้บาดเจ็บ เคสนี้รุนแรงอาจถึงขึ้นพิการได้ โค้ชของผมมองภาพกว้าง โดยมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์สูงสุดให้กับผู้บริหารที่คลุกอยู่วงใน ที่วันนี้แค่หลบหมัดในสนามก็เหนื่อยพอแล้ว”
นอกจากนี้ ยังสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้ในองค์กร เพื่อพัฒนาคนเคทีซีให้พร้อมรับกับความเปลี่ยนแปลงและการขยายธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดิจิทัล การรีสกิลและอัพสกิลเนื้องาน โดยพนักงานสามารถสมัครเพื่อรับการคัดเลือกเรียนรู้ผ่านคอร์สต่างๆ ทำให้พนักงานและผู้บริหารเคทีซีพร้อมที่จะเรียนรู้ พัฒนาในสิ่งที่ถูกและแก้ไขไม่ทำผิดซ้ำ หรือถ้าจะผิดก็ผิดในเรื่องใหม่ และบอกได้ว่าผิดเพราะอะไร
“นี่คือการเตรียมพร้อมสำหรับ Infinite Game คือการทำให้องค์กรสามารถอยู่ต่อไปได้อีกยาวนาน เราไม่ได้แพ้-ชนะแค่วันนี้ แต่เรากำลังรบอยู่กับสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด โปรโมชั่นเกิดทุกวัน สารพัดแคมเปญที่ต้องแก้เกมกันตลอดเวลา การแข่งขันเกิดทุกวัน วันนี้เป็นพันธมิตรพรุ่งนี้อาจเป็นคู่แข่ง เป็นพันธมิตรกับบางคนในบางเรื่อง เช่นเดียวกับการเป็นคู่แข่งกับบางคนในบางเรื่อง”
“สิ่งที่เราทำวันนี้คือวัดว่าวันนี้ดีกว่าเมื่อวาน พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ คนอื่นอาจจะเก่งกว่าเรา แต่พรุ่งนี้เราต้องดีขึ้นเรื่อยๆ
Infinite Game ต่างจาก Finance Game ตรงนี้” นายระเฑียรกล่าวสรุป
ออกหุ้นกู้ 12,000 ล้านบาท
คุมต้นทุนทางการเงิน
นายระเฑียร กล่าวเพิ่มเติมว่า ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้เคทีซียังต้องประเมินผลกระทบต่อเนื่องเป็นระยะ โดยคาดว่าสภาพคล่องส่วนเกินในตลาดยังมีอยู่ และอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นจึงมีแผนจัดสัดส่วนเงินกู้ยืมระยะสั้นมากขึ้น และระดมเงินกู้ยืมระยะยาวไม่เกิน 12,000 ล้านบาท ในช่วงอายุที่สั้นลงจากเดิม เพื่อรองรับหุ้นกู้ที่ครบกำหนดในปี 2564 และการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ โดยจะเน้นการบริหารต้นทุนทางการเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้เป็นสำคัญ ซึ่งในปี 2563 ต้นทุนทางการเงินปี 2563 อยู่ที่ 2.7% และจะปรับลดลงในปีนี้ รวมไปถึงการบริหารพอร์ตลูกหนี้โดยรวมให้มีคุณภาพที่ดี โดยคาดว่าในปี 2564 บริษัทฯ จะมีอัตราการเติบโตของกำไรในระดับที่ยอมรับได้และดีกว่าปีที่ผ่านมา
ปี 2564 Go Digital
นายวุฒิชัย เจริญผล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-ไอที เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมาได้มีการปรับพื้นฐานด้านโครงสร้างด้านไอทีให้เหมาะสมกับการก้าวไปข้างหน้าและรุกธุรกิจได้มากขึ้น โดยทำเป็นระบบอย่างต่อเนื่องตามแผน IT ROADMAP ที่กำหนดไว้แผนละ 3 ปี โดยปีนี้ 2564 จะ Go Digital ซึ่งปีนี้จะเป็น Stage สุดท้ายในการ Improve Data Center เพื่อให้หลังบ้านแข็งแรง พร้อมสำหรับการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นต่อไป
สำหรับการทำ Digital Transformation หัวใจสำคัญที่สุดคือ พนักงาน จึงได้กำหนดกรอบดำเนินการภายใต้ 3 แกนหลัก คือ Digital Product, Digital Service และ Digital Channel เพื่อให้พนักงานรู้เป้าหมาย มีการเทรนนิ่งปรับเปลี่ยน mindset ให้เข้าใจการทำงานมากขึ้น และในปี 2564 จะเข้มข้นมากขึ้น โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างประสบการณ์ที่ดี ในการใช้งานให้กับลูกค้า เพราะเมื่อโควิด19จากไป ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ
“ปีนี้จะโฟกัสที่ Aplication ซึ่งยังอยู่ระหว่างการศึกษาว่าควรทำอะไร อย่างไร ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีการนำ Cloud Service มาใช้ใน KTC-Mobile เว็บไซต์ และ KTC ออนไลน์ เพื่อตอบโจทย์เรื่องบริการลูกค้า ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ต้องมีการพัฒนาต่อไป”
นอกจากนี้ยังเปลี่ยนความคิดในเรื่องทำโมเดล จากเดิมที่ทำทุกอย่างให้เสร็จสมบูรณ์แล้วค่อย Implement เช่น KTC-Mobile ที่ทำโปรเจ็คนานถึง 2 ปี แล้ว Implement ซึ่งไม่ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป จากนี้จะปรับเป็นการ Implement พร้อมกับปรับปรุงพัฒนาไปด้วยกัน ซึ่งจะมีโปรดักส์ใหม่ออกมาเร็วๆนี้ โดยเวอร์ชั่นแรกอาจจะไม่สวยงามมากนัก แต่จะปรับปรุงให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ