ผมได้ดูทีวี เมื่อหลายวันที่ผ่านมา ได้เสนอเรื่องราวของสามีภรรยาคู่หนึ่ง อยู่กินด้วยกันมานานกว่า 27 ปี
วันหนึ่งภรรยาหกล้มศีรษะฟาดพื้น ทำให้เส้นโลหิตในสมองแตก ต้องนอน ติดเตียงตลอดเวลา ในภาพที่เห็น สามีกำลังให้อาหารทางสายยาง และต้องลาออกจากงานมาดูแลภรรยาตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน
ฝ่ายสามีบอกว่าเขาจะไม่ทอดทิ้งภรรยาไปไหน เพราะรักภรรยามาก ตามข่าวไม่ได้บอกว่าภรรยามีการประกันภัยคุ้มครองไว้หรือไม่
ถ้าหากว่าภรรยามีการซื้อความคุ้มครองจากการประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล และการที่เส้นโลหิตในสมองแตกเป็นผลโดยตรงมาจากการหกล้ม กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลย่อมจะต้องให้ความคุ้มครอง
ทว่าจากประสบการณ์ของผม สมัยที่ยังอยู่ที่กรมการประกันภัย ได้ดูแลเกี่ยวกับเรื่องการร้องเรียนค่าสินไหมทดแทนและการใช้เงินตามกรมธรรม์ แม้จะเป็นระยะเวลาไม่นานนัก แต่ผมก็มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้มากพอสมควร จนทำให้เชื่อได้ว่า กรณีนี้เส้นโลหิตในสมองแตกก่อนเป็นเหตุให้หกล้ม
ที่ผมเชื่อเช่นนี้ก็เพราะ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่ง ได้กล่าวไว้ว่า “สมองของมนุษย์เปรียบได้กับขอนไม้ที่ลอยน้ำ แม้จะมีลูกคลื่นซัดอย่างรุนแรงเพียงใดก็ตาม มันก็ยังจะคงสภาพเดิมอยู่เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง”
ภรรยาของผู้เอาประกัน ในฐานะผู้รับประโยชน์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้น ความว่า สามี
ได้เอาประกันชีวิตทุนประกัน 1 ล้าน 5 แสนบาท และอุบัติเหตุอีกหนึ่งล้านห้าแสนบาท ได้ชำระเบี้ยประกันมาตลอด วันที่ 1 มีนาคม 2523 ประสบอุบัติเหตุล้มศีรษะฟาดกับของแข็งในบริเวณห้องน้ำและถึงแก่กรรมในวันที่ 2 เดือนเดียวกัน เนื่องจากเส้นโลหิตในสมองแตก จำเลยชำระให้แต่เฉพาะทุนประกันชีวิตจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนบาท แต่ไม่ยอมชำระทุนประกันอุบัติเหตุอีกหนึ่งล้านห้าแสนบาท
บริษัทจำเลยให้การต่อสู้คดีว่า ผู้เอาประกันถึงแก่กรรมด้วยเหตุกล้ามเนื้อหัวใจด้านหน้าตายและเส้นเลือดในสมองแตกเป็นโรคภายในของผู้เอาประกันเอง บริษัทจึงไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าสินไหมในส่วนของการประกันอุบัติเหตุและทุพพลภาพ และ ผู้รับประโยชน์ ยังไม่ยอมให้บริษัทตรวจพิสูจน์ศพ
ผมได้ไปให้การเป็นพยานตามที่บริษัทอ้างในศาลด้วย ทนายของบริษัทจะถามอะไรถูกศาลห้ามหลายครั้ง โดยกล่าวว่าพยานเป็นแต่เพียงเลขานุการของอนุญาโตตุลาการ จะถามความคิดเห็นอย่างนั้นไม่ได้
ในที่สุด ศาลชั้นต้น พิพากษาให้บริษัทต้องชดใช้เงินในส่วนของการประกันอุบัติเหตุด้วย
ทว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
ผู้รับประโยชน์จึงฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษา โดยยึดถือจากคำเบิกความของพยาน
ปากแรกคือแพทย์หญิง ท. เป็นแพทย์ผู้รักษา ผู้เอาประกันในตอนแรก เบิกความว่าได้ตรวจร่างกายผู้เอาประกันแล้ว เริ่มต้นยังพูดได้แต่ฟังไม่ได้ศัพท์ แขนซ้ายขาซ้ายอ่อนแรง เป็นอัมพาต หัวเข่าทั้งสองมีบาดแผลฟกช้ำ ส่วนกะโหลกศีรษะปกติ
ภรรยาผู้เอาประกันบอกว่าผู้เอาประกันหกล้มในห้องน้ำ
ผู้เอาประกันมีอาการปวดศีรษะแล้วอาเจียน ต่อมาก็ชัก
เมื่อนำส่งโรงพยาบาลได้ตรวจสอบคลื่นหัวใจ ปรากฎว่ากล้ามเนื้อหัวใจตาย สมองได้รับความกระทบกระเทือนเพราะการล้ม ทำให้ สมองได้รับความกระทบกระเทือน เป็นเหตุให้เส้นโลหิตในสมองแตก
พยานอีกปาก คือนายแพทย์ ส. ที่ปรึกษาของบริษัท เบิกความว่า ได้พิจารณาตามรายงาน เกี่ยวกับการตายของผู้เาประกัน โดยพิจารณาจากใบรับรองแพทย์ ซึ่งระบุว่า cva เป็นโรค ที่เกิดขึ้นเอง เกี่ยวกับเลือดหรือหลอดเลือดไม่ได้เกี่ยวกับการกระทบกระเทือน และที่ว่ารอยช้ำที่หัวเข่าทั้งสอง เห็นว่าผู้เอาประกันเป็น cva ทำให้เกิดอาการขาแขนไม่มีแรง คนไข้จะทรงตัวไม่อยู่ ต้องทรุดลงทำให้เกิดรอยช้ำที่หัวเข่า กรณีเช่นนี้ ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่ถ้ามีการผ่าพิสูจน์ศพจะสามารถทราบไดัถึงสาเหตุการเกิดเส้นโลหิตในสมองแตกในสมองได้ แต่คดีนี้ไม่มีการผ่าศพพิสูจน์ เท่าที่พยาน เคยรักษาคนไข้cva จะมีอาการเส้นโลหิตในสมองแตกก่อนแล้วจึงล้ม การที่ศีรษะถูกกระแทกแล้วทำให้เส้นเลือดในสมองแตกส่วนใหญ่แล้วจะต้องมีบาดแผลให้ปรากฏ การที่กล้ามเนื้อหัวใจตายไม่เกี่ยวกับการล้ม
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่าแพทย์หญิง ท. ปากเดียวที่เบิกความว่าผู้เอาประกันตายเพราะอุบัติเหตุ แต่ แพทย์หญิง ท.ก็ไม่ได้เห็นเอง แพทย์หญิง ท.ก็เบิกความต่อต่ออนุญาโตตุุลาการว่าตนเองเป็นแพทย์ทางอายุรกรรม ทำให้ตนเองไม่แน่ใจว่าผู้เอาประกันตายเพราะเส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตันหรือไม่ อีกทั้งยังเบิกความอีกว่า ผู้เอาประกันไม่มีบาดแผลที่ศีรษะ จึงน่าเชื่อว่าเส้นเลือดในสมองแตกก่อนจึงล้ม หากล้มแล้วได้รับความกระทบกระเทือนเป็นเหตุให้เส้นโลหิตในสมองแตก ศีรษะจะต้องมีบาดแผลให้เห็นดังคำเบิกความของแพทย์ พ. ซึ่งทำงานด้านผ่าตัดโรคทางสมองมากว่า 12 ปีแล้ว ย่อมมีความชำนาญมากกว่าแพทย์หญิง ท. ผู้เอาประกันชีวิตรายนี้ไม่ได้ถึงแก่กรรมเพราะอุบัติเหตุ โจทก์ผู้รับประโยชน์จะเรียกค่าสินไหมในส่วนอุบัติเหตุอีกไม่ได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
( คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2351/2531)