เอสซีจี แก้เกมเศรษฐกิจรุมเร้า ลุยแผนระยะนั้น ลดต้นทุน 5,000 ล้านบาท ,ลดเงินทุนหมุนเวียน 10,000 ล้านบาท,ยกเลิกกิจการที่ไม่ทำกำไร และขายสินทรัพย์ พร้อมเดินเกมระยะยาว ลุยปิโตรเคมีเวียดนาม 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มทางเลือกใช้อีเทนลดต้นทุนวัตถุดิบ ส่งออกปูนคาร์บอนต่ำ พลาสติกรักษ์โลกดีมานด์สูง พร้อมเสริมแกร่งตามแนวทาง Inclusive Green Growth รับมือเศรษฐกิจโลกผันผวนรุนแรง วัฏจักรปิโตรเคมีอ่อนตัวลากยาวกว่าที่คาด และค่าเงินบาทผันผวน
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปดเผยถึงผลประกอบการ 9 เดือนปี 2567 ว่ามีรายได้ 380,660 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน กำไร 6,854 ล้านบาท ลดลง 75% จากการเดินเครื่องโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (Long Son Petrochemicals – LSP) ที่ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง กำไรไม่รวมรายการพิเศษลดลง 46% โดยไตรมาส 3 มีรายได้ 128,199 ล้านบาท กำไร 721 ล้านบาท ลดลง 81% จากไตรมาสก่อน จากเงินบาทแข็งค่า การปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง และไตรมาสก่อนเป็นช่วงที่มีรายได้เงินปันผลจากการลงทุนในธุรกิจอื่น
ทั้งนี้คาดว่ารายได้ทั้งปี 2567 จะเพิ่มขึ้น 3% จากเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนรุนแรง วัฏจักรปิโตรเคมีทั่วโลกอ่อนตัวลากยาว สงครามตะวันออกกลาง สินค้าจากจีนเข้ามาแข่งขันภายในประเทศมากขึ้น รวมทั้งค่าเงินบาทผันผวน ซึ่งเป็นความท้าทายที่มีแนวโน้มจะยืดเยื้อยาวนาน เอสซีจีจึงมุ่งดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง และรัดกุมยิ่งขึ้น
โดยมาตรการระยะสั้น ตั้งเป้า 1) ลดต้นทุนภาพรวมองค์กร 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 2) ลดเงินทุนหมุนเวียนลง 10,000 ล้านบาท ภายในไตรมาส 1 ปี 2568 3) ยกเลิกกิจการที่ไม่ทำกำไร เช่น SCG Express และธุรกิจด้านดิจิทัลเทคโนโลยี OITOLABS ในประเทศอินเดีย รวมไปถึงกิจการที่อยู่ระหว่างการพิจารณายกเลิก 4) ขายสินทรัพย์ (Asset Divestment) เพิ่มความคล่องตัวและมุ่งเน้นรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ยกระดับประสิทธิภาพการผลิต รักษา EBITDA ให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ อาทิ เพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนโรงงานปูนซีเมนต์ในไทย 50% ภายในปีนี้ การใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติ (Automation) ผลิตกระเบื้อง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม เอสซีจีลงทุนในอาเซียนอย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายเติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย
ในระยะยาว Inclusive Green Growth เป็นโอกาสและความได้เปรียบทางธุรกิจ จึงเร่งลงทุนโครงการอีเทนที่ LSP ด้วยงบลงทุน 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขีดความสามารถแข่งขันกับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั่วโลก ทั้งยังช่วยลดคาร์บอนไดออกไซต์ในกระบวนการผลิต พร้อมดันนวัตกรรมกรีนมูลค่าเพิ่มสูง อาทิ ปูนคาร์บอนต่ำ เจนเนอเรชัน 2 ได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่อง มีสัดส่วนการใช้ปูนคาร์บอนต่ำทดแทนแบบเดิมร้อยละ 86 พลาสติกรักษ์โลก SCGC GREEN POLYMER TM เติบโตต่อเนื่อง
เอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) จากวัฏจักรปิโตรเคมีขาลง กำลังการผลิตเเละความต้องการเคมีภัณฑ์โลกชะลอตัวจึงรุกสร้างศักยภาพเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันระยะยาว ด้วยโครงการลงทุนการปรับปรุงกระบวนการผลิต LSP ช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มความยืดหยุ่นของวัตถุดิบในการผลิต งบลงทุน 700 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างถังรับก๊าซอีเทน และสาธารณูปโภคการรับวัตถุดิบ (Supporting Facilities) คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จปลายปี 2570
สำหรับโครงการ LSP เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์เมื่อ 30 กันยายน ที่ผ่านมา สามารถผลิตได้ 74,000 ตัน ทั้งนี้ มุ่งบริหารจัดการการผลิตของโรงงาน 3 แห่ง ได้แก่ โรงงานระยองโอเลฟินส์ (ROC) โรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ (MOC) และโรงงาน LSP ให้เหมาะสมกับราคาวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ และสถานการณ์เศรษฐกิจโลก ซึ่งขณะนี้โรงงาน LSP ได้หยุดการเดินเครื่อง เพื่อบริหารต้นทุนธุรกิจ โดยจะประเมินการเดินเครื่องอีกครั้งเมื่อสถานการณ์เหมาะสม
กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างและที่อยู่อาศัย ภาพรวมยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณจากภาครัฐ เพื่อเร่งดำเนินการก่อสร้างโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ขณะที่ตลาดสินค้าวัสดุก่อสร้างของไทยยังชะลอตัว
จากงานโครงการที่ชะลอตัว และภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ เร่งต่อยอดเทคโนโลยีก่อสร้างด้วย3D Printing และพัฒนาวัสดุที่สามารถแข็งตัวและให้กำลังอัดคล้ายกับปูนซีเมนต์ชนิดพิเศษ (Special Cementitious Materials) รองรับการผลิตขึ้นรูปในตลาดโลก ล่าสุด ลงนามร่วมกับบริษัท Samsung E&A ประเทศเกาหลีใต้ นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมก่อสร้าง เพิ่มประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว แม่นยำ ลดต้นทุนและวัสดุเหลือใช้จากงานก่อสร้าง และแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ
รวมไปถึงการผลักดันโซลูชันตอบโจทย์ อุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยรักษ์โลก “รถโม่เล็ก CPAC” ช่วยลดเสียงรบกวน และ ”คอนกรีตคาร์บอนต่ำซีแพค” ลดปัญหาฝุ่น PM 2.5 ร่วมมือกับ AP Thailand ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการบ้านแนวราบกว่า 56 โครงการ ในปี 2567 ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1,112,600 กิโลกรัมคาร์บอน (Kg CO2) เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 117,116 ต้น
สำหรับผลิตภัณฑ์ปูนซีเมนต์ เอสซีจี ได้รับการรับรองมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับสากล (Environmental Product Declaration – EPD) ในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะปูนซีเมนต์สำเร็จรูปเสือมอร์ตาร์ ครอบคลุม 10 ผลิตภัณฑ์ ปูนซีเมนต์เอสซีจีและเสือ รวม 8 ผลิตภัณฑ์ และคอนกรีตผสมเสร็จซีแพค 27 ผลิตภัณฑ์
เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล รุกตลาดค้าปลีกศักยภาพสูง ล่าสุดเร่งขยายโมเดิร์นเทรด Mitra 10 ในอินโดนีเซีย เพิ่มอีก 2 สาขา ที่เมืองจาบาเบกา และซามารินดา โดยมีแผนขยายเพิ่มอีก 4 แห่งภายในปี 2567 พร้อมเดินหน้าเสิร์ฟกลุ่มสินค้า House Brand ในช่องทางจัดจำหน่ายภายในประเทศ อาทิ กลุ่มสินค้าตกแต่ง แบรนด์ UNIX กลุ่มสินค้าเหล็ก แบรนด์ TOPSTEEL และกลุ่มอุปกรณ์เครื่องมือช่าง TOPPRO นอกจากนี้ คิวช่าง (Q-Chang) เเพลตฟอร์มศูนย์รวมช่างคุณภาพและบริการดูแลบ้านครบวงจร เติบโตต่อเนื่อง ปัจจุบันมีเครือข่ายช่างผู้เชี่ยวชาญกว่า 10,000 ราย ให้บริการลูกค้ามากกว่า 300,000 รายทั่วประเทศ
เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง รุกนวัตกรรมวัสดุตกแต่งภูมิทัศน์ ร่วมสร้าง จ.ร้อยเอ็ด แลนด์มาร์คภาคอีสาน ด้วยการออกแบบ ชูวัฒนธรรมสร้างอัตลักษณ์ เลือกใช้บล็อกและกระเบื้องปูพื้นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้วัสดุรีไซเคิลในการผลิต 40% ได้รับรอง SCG Green Choice และคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกแห่งประเทศไทย อาทิ บล็อกปูพื้น กระเบื้องปูพื้นเอสซีจี รุ่น Pavement, Serena และกระเบื้องปูพื้นเอสซีจีเทคโนโลยีใหม่ รุ่น UVT เป็นต้น รวมทั้งสินค้าสำเร็จรูปและระบบติดตั้ง ตอบโจทย์ก่อสร้างรวดเร็ว แก้ปัญหาลูกค้าซ่อมแซมบ้านหลังน้ำท่วม อาทิ ไม้เชิงชายรุ่นพร้อม ไม้ฝาและไม้ตกแต่งทำสีสำเร็จ และวัสดุต่อเติมที่ทำงานง่าย ทนน้ำทนชื้น อย่างแผ่นสมาร์ทบอร์ด เอสซีจี
เอสซีจี เดคคอร์ (SCGD) เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด ติดตั้ง Hot Air Generator ที่โครงการนิคมอุตสาหกรรมหนองแค ลดต้นทุนได้ 16.8 ล้านบาทต่อปี พร้อมรุกตลาดเวียดนาม เร่งปรับไลน์ผลิตกระเบื้องเซรามิกเป็นกระเบื้องพอร์ซเลนขนาดใหญ่ กำลังการผลิต 2.5 ล้านตารางเมตร โดยขยายช่องทางจัดจำหน่าย เสิรฟ์สินค้าหลากหลายตอบโจทย์ ล่าสุดเปิดร้านจำหน่ายกระเบื้องเซรามิกและสุขภัณฑ์ V-Ceramic ร้านแรกทางภาคใต้ของเวียดนาม
เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ เติบโตต่อเนื่อง จากความต้องการใช้พลังงานสะอาดภายในประเทศมากขึ้น ทำให้มีกำลังผลิตรวม 526 เมกะวัตต์ จากโครงการภาครัฐและภาคเอกชน โดยร่วมกับ ธนาคารกสิกรไทย ลงนามการสนับสนุนสินเชื่อสีเขียว วงเงิน 1,500 ล้านบาท ลงทุนโครงการ Solar Private PPA (Power Purchase Agreement) สำหรับติดตั้งโซลาร์ให้บริษัทต่าง ๆ โดยมีกำลังผลิตรวม 88.5 เมกะวัตต์ การเชื่อมต่อด้วยระบบเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Microgrid) โดยมีแผนขยายผลในกลุ่มโรงงานบริษัทโตโยต้า ในนิคมอมตะซิตี้ ชลบุรี
สำหรับแบตเตอรี่กักเก็บพลังงานความร้อนจากพลังงานสะอาด Rondo Heat Battery มีความคืบหน้าโครงการติดตั้งที่โรงงานปูนซีเมนต์ เอสซีจี จ.สระบุรี แล้วกว่า 45% ได้เริ่มการผลิตวัสดุกักเก็บความร้อน (Thermal Media) เก็บความร้อนของแบตเตอรี่กักเก็บความร้อนจากพลังงานสะอาด (Heat Battery) โดยคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องจักรได้ประมาณไตรมาส 2 ปี 2568
เอสซีจีพี ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์และโซลูชันที่เชื่อมโยงกับผู้บริโภค เช่น บรรจุภัณฑ์อาหาร วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ล่าสุดร่วมกับ Once Medical Company Limited พัฒนาโซลูชันเข็มฉีดยาและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์คุณภาพสูง เพื่อเสริมศักยภาพการผลิตของ VEM Thailand และขยายเครือข่ายลูกค้า อีกทั้งบริหารต้นทุนและเพิ่มความสามารถทำกำไร ด้วยการเพิ่มยอดขายสินค้ามูลค่าสูง เพิ่มสัดส่วนส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ บริหารต้นทุนค่าขนส่ง เพิ่มการใช้กระดาษรีไซเคิล พร้อมขยายเครือข่ายการจัดหากระดาษรีไซเคิล รวมไปถึงปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตด้วยเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์เพื่อใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและลดต้นทุนพลังงานอย่างต่อเนื่อง
“เอสซีจีจะจัดโครงการ Go Together ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯ เพื่อยกระดับความสามารถผู้ประกอบการ SMEs ให้ใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และได้จัดหลักสูตร NZAP (NET ZERO Accelerator Program) สำหรับผู้ประกอบการ SMEs และผู้บริหารภาครัฐรุ่นใหม่ ให้เข้าใจนโยบายภาครัฐ กลไกการค้า การเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับธุรกิจคาร์บอนต่ำ เพื่อติดอาวุธ ลดต้นทุน เพิ่มกำไร และเกิดอุตสาหกรรมสีเขียวควบคู่กับการสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งภาคธุรกิจต้องเร่งปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจให้พร้อมรับมือกับกฎเกณฑ์ มาตรการที่เกี่ยวกับโลกร้อน” นายธรรมศักดิ์ กล่าวปิดท้าย