เดินทางมาก้าวที่ 73 แล้ว สำหรับ บริษัท ไทยพัฒนาประกันภัย จำกัด(มหาชน)
จากรุ่นปู่ที่เป็นผู้บุกเบิก ยาวมาถึงรุ่นหลานที่เป็นฝ่ายสานต่อ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของบริษัทนี้ ที่คนรุ่นหลานยอมรับหน้าที่สานต่อ ในขณะที่อีกหลายๆบริษัท ที่เคยเป็นบริษัทครอบครัว ขาดคนสานต่อ แล้วที่สุดก็ต้องยอมเลิกกิจการ หรือขายบริษัทไป
วันนี้ ไทยพัฒนาประกันภัย จึงมีคุณอัฐพงษ์ คุนผลิน,คุณบรุ๊ค คุนผลิน และคุณภูมิ คุนผลิน ช่วยกันบริหาร
“คุณอัฐพงษ์ คุนผลิน” หรือ “คุณฮอลล์”ผู้เป็นหลานในวันนี้ ที่นั่งตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายกิจการสาขา รับผิดชอบดูแลภาพรวมรวมขององค์กร บอกว่า จากปี 2520ถึง 2563ก็ 73 ปีแล้ว ตอนเริ่มต้น อากงหรือคุณปู่ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกธนาคาร เมื่อก่อนคุณปู่มีหลายกิจการ มีธุรกิจธนาคารอยู่ด้วย ซึ่งธุรกิจประกันภัยอยู่ในธนาคารด้วย ถือว่าเป็นยุคบุกเบิก ตอนนั้นมีหลายบริษัทประกันภัยเกิดขึ้นมา เราก็เป็นหนึ่งในนั้น
ต้องบอกว่า 73 ปีผ่านอะไรมาเยอะ เติบโตขึ้นตามลำดับ แตกตัวออกมา มีอาคารเป็นของตัวเอง เดิมอยู่ที่สวนมะลิ ต่อมาย้ายมาที่ถนนสุรวงศ์ ตอนนี้มาอยู่สุขุมวิท ใหม่ๆก็รับประกันภัยอัคคีภัย และประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 ถือว่ามีผลิตภัณฑ์ค่อนข้างน้อย พอปี 2535 ก็มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพิ่มมากขึ้น มีประกันภัยภาคบังคับ(พ.ร.บ.)

คุณฮอลล์บอกว่า ปี 2535 จัดว่า เป็นยุคทองของประกันภัย เพราะรถยนต์ทุกคันจะต้องมีการทำประกันพ.ร.บ. ตอนนั้นบริษัทฯขยายตลาดด้วยสาขาทั่วประเทศ ประมาณ 130 สาขา ถือว่าเป็นยุคของ Introduction ของ พรบ.เลย ตอนนั้นประชาชนยังไม่รู้เลยว่า พ.ร.บ.คืออะไร ก็เป็นหน้าที่ของบริษัทประกันภัย ที่จะต้องขยายตลาด และสร้างความรู้ให้กับประชาชน ขณะนั้น เบี้ยประกัน พ.ร.บ.ประมาณ 1,200 บาท แต่มีความคุ้มครองแค่ 50,000 บาท ถือว่าความคุ้มครองน้อยมาก หากเทียบกับปัจจุบันที่วันที่ 1 เมษายน 2563 ปรับความคุ้มครองเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 บาท ถือว่าช่วงนั้นเป็นยุคเติบโตของไทยพัฒนาประกันภัยช่วงหนึ่ง
หลังปี 2535 ไทยพัฒนาก็เริ่มมีผลิตภัณฑ์ประกันภัยในกลุ่มเบ็ดเตล็ด ประกันภัยขนส่งทางทะเล แต่ตอนนี้เราก็ยังเชี่ยวชาญเรื่องประกันภัยรถยนต์อยู่ โดยในช่วงนี้มีแบบประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 และประเภท 5 เพิ่มเข้ามา
“ผมเองเข้ามาทำงานช่วงปี 2552 คือ13 ปีหลังจากมีประกัน พ.ร.บ. ซึ่งเป็นยุคที่ พ.ร.บ.มีความคุ้มครองเพิ่มขึ้นแต่เบี้ยถูกลง แต่สำหรับไทยพัฒนาเราหันมาเพิ่มประกันภาคสมัครใจมากขึ้น เพราะเมื่อก่อนเบี้ยภาคสมัครใจมีอยู่ 70-80 ล้านบาทเอง ถือว่าค่อนข้างน้อย และช่วงที่ผมเข้ามาใหม่ๆ ก็มีเบี้ยประกันภัยรับรวมของไทยพัฒนาประมาณ 400 ล้านบาท เป็นเบี้ย พ.ร.บ.ประมาณ 300 ล้านบาท หรือเป็นเบี้ยประกันรถยนต์ 80%”
ตอนนี้ คุณฮอลล์บอกว่า เมื่อปรับเพิ่มความคุ้มครองจาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท จึงเป็นจุดเปลี่ยนของบริษัท ที่มองว่า พ.ร.บ.จะไม่สามารถทำกำไรให้กับบริษัทได้ เพราะต้นทุนสูงขึ้น ประกอบกับค่าการตลาดค่อนข้างมาก ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตายไปแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้คณะผู้บริหารจึงตัดสินใจว่า ในเมื่อเราชำนาญและเชี่ยวชาญด้านรถยนต์ ก็มุ่งไปที่รถยนต์ภาคสมัครใจ นี่คือคำตอบของเรา โดยพยายามออกแคมเปญ ออกโปรโมชั่น ออกผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า โดยเฉพาะประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 ประเภท 5 และประเภท 1 ทั้ง 3 ตัวนี้เป็นผลิตภัณฑ์หลักของเรา สรุปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เรารุกตลาดประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจ โดยมีคุณภูมิ คุนผลิน ดูแลในการทำตลาด
มาทางฝั่ง “คุณบรุ๊ค คุนผลิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ที่ดูแลด้านไอที ที่บอกว่า มาจากวิศวกร ตอนนี้มาดูแลไอที จริงๆแล้วมีความถนัดด้านพร็อพเพอร์ตี้ และNon Motor ซึ่งเป็นทางที่จะทำให้เดินไปได้ แต่เราพยายามหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับไซส์บริษัท ดัชนีของเงินกองทุนส่วนใหญ่น่าจะไปในกลุ่มของ SME สินค้าที่เหมาะกับส่วนบุคคล พยายามหาตลาดที่บริษัทใหญ่ๆ อาจจะมองข้าม ช่วงนี้พยายามผลักดัน Non Motor โดยเฉพาะในกลุ่ม SME อย่างกลุ่มร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านเล็กๆ เพราะเรามีสาขามาก อย่างในต่างจังหวัดมองในกลุ่มร้านค้าห้องแถว เราเน้นแบบนี้ ดังนั้นตอนนี้อยู่ระหว่างการเทรนด์สาขาให้มีความรู้ ให้มีความถนัดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมทั้งให้สาขาช่วยสอนตัวแทนมากขึ้น คือให้มองทุกอย่างเป็นโอกาสให้ได้ และเรายังมีช่องทางตรอ.อยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อให้ช่วยสร้างความคุ้มครองกับเขาได้ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่เป็น ฮีโร่ของเราคือ ประกันอิสรภาพ กับ ประกัน พ.ร.บ.เรือ
อย่างไรก็ตาม ผมจะดูในส่วนของไอที กับการลงทุน ซึ่งในส่วนของการลงทุนในช่วงนี้อาจจะลำบาก เพราะตลาดทุนตกมาก ดอกเบี้ยต่ำมาก แทบจะเหลือศูนย์ ตอนนี้ทำแค่ให้เงินทุนยังอยู่ ซึ่งการลงทุนของเราหลักๆ เป็นหุ้นกู้ และ Corporate bond ซึ่งหากเป็นเมื่อก่อนถือว่า เป็นการลงทุนที่ Save แต่ปัจจุบันต้องกลับมาคิดใหม่ ช่วงนี้น่าจะต้องดูเรื่องความเสี่ยงเรื่องการลงทุนให้มากขึ้น หลายธุรกิจต้องนำกลับมาดูใหม่ ไม่ว่าจะเป็น อสังหาหริมทรัพย์ โรงแรม รีเทลฯ ปัจจุบันมีพอร์ตลงทุน 350 ล้านบาท พอร์ตลงทุนของไทยพัฒนาค่อนข้างคอนเซอร์เวทีพ เพราะเน้นพวกบอด์นมากกว่า สัดส่วน 80-90% ในเมื่อหุ้นไม่ค่อยมี ก็ถือว่าเรายังมีเงินอยู่ในที่ปลอดภัย ตอนนี้มองตลาดอย่างใกล้ชิด เพราะการลงทุนจะเป็นส่วนที่เสริมฝั่งการรับประกันภัยส่วนใหญ่บริษัทประกันภัยจะมีกำไรจากการลงทุน และการรับประกันภัยอย่างละครึ่งๆ ซึ่งของไทยพัฒนาเป็นแบบเดียวกัน
ในส่วนของการรับประกันเราเน้นงานที่มีกำไร และล่าสุดการที่สำนักงาน คปภ.เปิดโอกาสให้บริษัทประกันภัย สามารถลงทุนในตลาดต่างประเทศได้นั้น ถือว่าดีเพราะเป็นโอกาสที่จะช่วยให้เกิดความสมดุลของตลาดทุน เพราะหากจำกัดเฉพาะตลาดในประเทศ หากตลาดไม่ดี ขึ้นมา เราก็จะเสียโอกาสไป อย่างบริษัทรีอินชัวร์เรอร์ เขายังกระจายพอร์ตการรับประกัน จากทั่วโลกได้ เหมือนการลงทุนหากสามารถกระจายพอร์ตได้มากขึ้น ก็จะสามารถทำให้ทรัพย์สินลงทุนมีความปลอดภัย และทำให้ผลตอบแทนดีขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในต่างประเทศมีผลตอบแทนที่ดีกว่าประเทศไทยมาหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้เรายังไม่มีการลงทุนในต่างประเทศกำลังศึกษากัน โดยเป็นตัว Corporate bond ซึ่งหากมองในแถบอเมริกายังถือว่าดีและมีความปลอดภัยอยู่ ธุรกิจในต่างประเทศส่วนใหญ่จะเป็น Global ช่วงหลังไทยมีบริษัทที่เป็น Global น้อย พอเศรษฐกิจตก ก็ตกกันทั้งประเทศ ยิ่งถ้าเราพึ่งพานักท่องเที่ยวมากไป พอหายก็กระทบกันหนักมาก

ส่วนเรื่องระบบ ไอทีเป็นช่วงที่ต้องลงทุน เราพยายามปรับโครงสร้างบริษัทโดยใช้ระบบไอทีเป็นเครื่องมือ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยตัวแทน ช่วยบริษัทในการขาย ช่วยในการปรับระบบการทำงานของบริษัท ช่วยให้การทำงานได้ดีขึ้น มากขึ้นในขณะที่ใช้คนเท่าเดิม เราพยายามทำระบบต่างๆ ให้เร็วและกระชับมากขึ้น เป็นแนวทางนี้มากว่า สำหรับการนำไปใช้ในการขายออนไลน์ ณ ขณะนี้ยังไม่ใช่สำหรับเรา แต่ในอนาคต ก็มีเทรนด์ที่ไปทางนั้น ลูกค้าปัจจุบันเริ่มมาทางออนไลน์มากขึ้น อย่างต่างประเทศ ในขณะนี้หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ยังไม่ได้สูงมาก ไม่น่าเกิน 50% บางตัวประมาณ 20% ต้องดูเป็นตัวๆ ไป อย่างฝรั่งเศส USA วงการประกันภัย ใหญ่กว่าธนาคารมาก จะเห็นว่า ยุคที่เศรษฐกิจแย่ๆ แล้วบริษัทประกันภัยจะล้ม ใน USA รัฐบาลต้องเข้ามาพยุงไว้เลย ส่วนในอังกฤษลูกค้าซื้อผ่านออนไลน์เกินกว่า 50% เป็นเพราะประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเรื่องประกันมีมาก เพราะฉะนั้น มีบริษัทที่มีการพัฒนาเว็บไซด์ ทำให้สามารถใช้งานง่าย คือมีหลายระบบที่เอื้อต่อการซื้อประกันออนไลน์ ต้องยอมรับว่า เขาทำมานานกว่าไทยมาก แต่ของประเทศไทยประมาณ 90% ยังเป็นการขายผ่าน ตัวแทน และโบรกเกอร์ อีกประมาณ 10% เป็นการซื้อตรง และออนไลน์ ระบบไอทีของประเทศไทยยังไม่พร้อมเต็มที่ อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนไทย มีความรักสบายต้องการให้คนดูแล ถึงแม้ระบบจะพัฒนาไปมากแค่ไหน แต่คนไทยก็ยังต้องการความสบาย เพราะเรื่องประกันเป็นเรื่องที่ยากสำหรับคนไทย เงื่อนไขกรมธรรม์ยังเป็นเรื่องเข้าใจยาก
ขณะนี้ในส่วนของการวางระบบไอที เป็นช่วงการลงทุนในส่วนแบล็คออฟฟิศ กำลังดูเรื่อง ISO 2700 เพื่อทำให้ระบบไอทีมีมาตรฐานมากขึ้น โดยเป็นระบบที่ช่วยวิเคราะห์ทางด้านตัวเลข อาจจะเจาะเป็นส่วนๆ ไป อย่างเรื่องการรับประกันภัย เรื่องสินไหม ผลิตภัณฑ์ที่เป็น Niche product เรื่องไอทีจึงต้องดูให้ดี ซึ่งการวางระบบต่างๆ คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี
มาที่ “คุณภูมิ คุนผลิน” ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ซึ่งดูแลตลาดภูมิภาค ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ของบริษัท เลยก็ว่าได้ โดยคุณภูมิบอกว่า ไทยพัฒนา เกิดมาจากการประกันภัยรถยนต์ พ.ร.บ. เป็นหลัก วันนี้เราต้องหาวิธีขยับตัวที่ไม่ใช่ พ.ร.บ. ส่วนหนึ่งคือ การขยายประกันภัยรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็น ประเภท 1 และประเภทอื่นๆ ภาคสมัครใจทั้งหมด อีกสินค้าตัวหนึ่งที่เราทำได้ดีคือ การประกันภัยอิสรภาพ ซึ่งเบี้ยประกันภัยส่วนนี้ปีละ 50 ล้านบาท จริงๆแล้ว ประกันภัยอิสรภาพเป็นประกันภัยเฉพาะกิจมากๆ เพราะเวลาผู้ต้องหาจะต้องไปศาล ซึ่งในแต่ละชั้น เวลาที่จะถูกประกันตัวเพื่อออกมาเตรียมคดี ก็ต้องวางเงินเพื่อซื้ออิสรภาพออกมา โดยญาติ มีการนำทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นเงิน หรือโฉนดที่ดิน แต่ความเป็นจริง คนไทยไม่ได้มี ทรัพย์เพียงพอที่จะนำมาค้ำประกันตัวเพื่อให้ออกมาได้ เพราะจำนวนทรัพย์เป็นหลักแสนบาท มากน้อยขึ้นอยู่กับคดี นี่เป็นจุดที่เปิดโอกาสให้กับนายหน้าประกัน และบริษัทประกัน ที่จะประกันตัวออกมา
ไทยพัฒนาจึงเป็น 1 ใน 3 บริษัทที่ศาลทั่วประเทศไทย อนุมัติให้ขายประกันอิสรภาพได้ส่วนบริษัทอื่นๆ ก็มี สินมั่นคงประกันภัย ที่มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 1 รองลงมาคือ วิริยะประกันภัย และอันดับ 3 คือ ไทยพัฒนาประกันภัย เราขายได้ดีเป็นเพราะความมั่นคงของบริษัท คือ เรามีความชำนาญในการดิว ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายในการทำงานกับคนที่กำลังจะติดคุก การประกันภัยอิสรภาพเป็นเรื่องยากต้องใช้ความเชี่ยวชาญต้องคัดกรองให้ดี ตอนนี้มี Loss ratio ประมาณ 30% โดยเบี้ยประกันภัยรวมของตลาดนี้มีอยู่ประมาณ 200 ล้านบาท แต่ทั้งระบบจริงๆ มีมูลค่าเป็นหลักพันล้านบาท เพราะการประกันอิสรภาพส่วนใหญ่ยังเป็นของนายหน้าอิสระที่ไม่เกี่ยวกับบริษัทประกัน คนที่เป็นอาชีพนายหน้าจะนำหลักทรัพย์มาปล่อยเองที่ศาลโดยไม่ต้องมีหลักการอะไรมากเขาใช้โฉนดค้ำประกัน
“การที่ศาลให้ไทยพัฒนาฯ เข้าไปขายประกันอิสรภาพได้บ่งบอกอะไรหลายอย่างส่วนหนึ่งคือ ศาลเชื่อมั่นเรา ไทยพัฒนาฯ ไม่ได้ใหญ่โต แต่เรื่องเครดิต เราไม่เป็นรองใคร แต่จะช่วยให้การเติบโตได้มากน้อยแค่ไหน ต้องประเมินกันต่อไป เพราะการประกันในแบบนี้ไม่มีการต่ออายุ จบคือจบ แต่จะมีคดีเกิดขึ้นเรื่อยๆ”
คุณภูมิบอกอีกว่า เรื่อง ประกันอิสรภาพ ตลาดรวมถือว่าเล็ก เพราะถ้าเทียบกับธุรกิจประกันภัยทั้งระบบมีเบี้ยประกันกว่า 2 แสนล้านบาท และในนี้สัดส่วนเกินครึ่ง คือเบี้ยประกันภัยรถยนต์ และในแสนกว่าล้านบาทเป็นประกันภัยภาคสมัครใจ ส่วน พ.ร.บ. มีเบี้ยประมาณหมื่นกว่าล้านบาทเท่านั้น ถือว่าไม่ถึง 10% ของประกันภัยรถยนต์ทั้งระบบ เมื่อเป็นอย่างนี้ก็หนีไม่พ้นที่เราจะเข้ามารุกตลาดประกันภัยรถยนต์ และ การประกันภัยอิสรภาพให้เป็น องค์ประกอบหลักที่เราทำได้ดี
ส่วนประกัน พ.ร.บ.เรือ รูปแบบเหมือนกับ ประกัน พ.ร.บ.รถ ที่คุ้มครองผู้เดินทางทางเรือ ซึ่งเจ้าของเรือจะต้องทำประกัน พ.ร.บ.ตามจำนวนที่นั่งเรือ ที่ต้องซื้อประกันภัยทุกปี ส่วนใหญ่เจ้าของเรือจะดิวกับทางกรมเจ้าท่าที่ดูแลพื้นที่แต่ละแห่งทั่วประเทศ ซึ่งไทยพัฒนามีเบี้ยปีละกว่า 10 ล้านบาท ส่วนที่เราได้มาถือว่า เกินกว่า 50% ของทั้งระบบ เพราะประกัน พ.ร.บ.เรือ มีเบี้ยทั้งระบบเพียง 20 กว่าล้านบาทเท่านั้นเองเนื่องจากจำนวนเรือในประเทศยังไม่มาก สำหรับในตลาดนี้มี บริษัทประกันภัยที่ รับประกันภัยหลักๆ ประกอบด้วย ไทยพัฒนาประกันภัย วิริยะประกันภัย ไทยศรีประกันภัย เราจึงเป็นเบอร์ 1 ของตลาดนี้
นี่คือ อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เห็นว่า สินค้าประกันภัยมีหลายแบบ ซึ่งบางตัวเราเป็นหนึ่งในผู้นำตลาด ทำให้เรามีโอกาสทำให้เราเติบโตขึ้นอีก
สำหรับประกันภัยรถยนต์ จุดเด่นของไทยพัฒนานั้น ในตัวสินค้าอาจจะเหมือนกับบริษัทประกันภัยรายอื่นๆ แต่ความแตกต่างของเราคือ การดิวตรงกับลูกค้า ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับสินค้า อย่างการประกันภัยรถยนต์ เรามีการดิวกับตัวแทนขายโดยตรง โดยมีสาขาเป็นจุดให้บริการเพราะเวลาเราดิวงานจะเป็นเรื่องของคนต่อคนค่อนข้างมาก กลับกัน ถ้าเป็นบริษัทประกันขนาดใหญ่ เขาดิวธุรกิจต่อธุรกิจ การดิวกับตัวแทนคนเดียว กับการดิวกับองค์กรใหญ่ๆ ที่เบี้ยมากๆ จะมีความแตกต่างกัน มีเรื่องผลประโยชน์และอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องมากมาย การดิวในแบบของไทยพัฒนาเป็นการสร้างความใกล้ชิดผูกพัน ซึ่งการให้บริการที่รวดเร็ว และหากตัวแทนหรือลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราคาก็ต้องมาดูในส่วนของสินค้าเพื่อตอบสนองให้กับเขา นี่เป็นจุดที่ทำให้สินค้าประกันภัยรถยนต์ 3+ หรือ 2+ ของเราขายดีมากตัวแทนบางรายต้องการออกกรมธรรม์เร็วเราก็ต้องสามารถตอบสนองลูกค้าและตัวแทนได้
นี่เป็นการเดินหน้าของไทยพัฒนาที่เดินด้วยเหตุผลหลายๆ ปัจจัย ทั้งนี้ทั้งนั้นจุดเด่นของไทยพัฒนา คือการบริการ เพราะเรามีสาขามากทำให้เราสามารถบริการได้ดี ทั่วถึง มีความเป็นเจ้าของในแต่ละพื้นที่ มีความเข้าถึง ความรับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ สาขามีหน้าที่ขาย และให้บริการ ปัจจุบันมี 34 สาขาทั่วประเทศ จากเดิม มี 134 สาขา ตั้งแต่สมัยที่เราขาย พ.ร.บ.มาก ๆ ตอนนี้จำเป็นต้องลดลงด้วยหลายๆ ปัจจัย แต่ปัจจุบันเราเป็นบริษัทที่มีสาขาที่เยอะที่สุด ถามว่า ต้นทุนที่แบกไว้เยอะมั๊ย ต้องบอกว่าหนัก แต่เราจำเป็นต้องคงตรงนี้ไว้อย่างนี้ เพราะเป็นจุดการบริการที่ดี ต่างกับหลายๆ บริษัทที่ปิดสาขา เพราะต้องการลดต้นทุน เพราะค่าใช้จ่ายสูง สำหรับเราตราบใดที่พวกเรายังทำงานในแบบนี้อยู่ก็สามารถทำได้เรื่อยๆ และมีแนวโน้มเพิ่มสาขาทั่วประเทศเป็น 70-80 สาขาด้วยซ้ำ เราจะมีสาขาเพิ่มอีกรอบหนึ่งเพื่อการให้บริการประชาชน
“ผมคิดว่า ตราบใดที่คนไทยยังต้องการคนดูแลไม่ใช่ระบบไอทีดูแล ระบบไอทีเป็นเพียงสิ่งที่ทำให้เกิดความสะดวกขึ้น ไม่ใช่มาทดแทน ซึ่งในอีกหลายปีข้างหน้าก็จะเป็นอย่างนี้อยู่ และตราบใดที่เป็นอย่างนี้อยู่ เราก็จะทำแบบนี้ต่อไป และหากวันใดที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เราต้องมารีวิว ซึ่งเรามีการรีวิวอยู่แล้วทุกปี หากค่านิยมของคนไทยเปลี่ยนไป เราก็ต้องเปลี่ยนตาม”
คุณภูมิบอกว่า เข้ามาทำตลาดเป็นปีที่ 3 แล้ว เดินทางทั่วประเทศวนไปมา 2-3 รอบแล้ว แต่ถ้ารวมเข้ามาทำงานที่ไทยพัฒนาถือเป็นปีที่ 6 ในช่วง 2-3 ปีนี้ ได้ทำให้ภาพการตลาดของไทยพัฒนาเปลี่ยนไปในระดับหนึ่ง จากการที่ได้ออกไปวิ่งตลาดทำให้เราได้นำพาองค์กรที่อยู่กับ พ.ร.บ.มานานเปลี่ยนไป การทำงานมีความยากง่ายต่างกันไปตามตัวสินค้า ยกเว้น พ.ร.บ.ที่เหมือนกันทุกบริษัท

ถ้าพูดเรื่องประกัน พ.ร.บ. ปัจจัยการปรับความคุ้มครองเราต้องปรับตัวเรื่อยๆ นับตั้งแต่ 200,000 บาท เป็น 300,000 บาท เราถอยมาครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้ปรับเพิ่มเป็น 500,000 บาท ทำให้เราต้องถอยหนักขึ้น คนอื่นก็ถอยเหมือนกัน ปัจจุบันประกันภัยรถยนต์คือ 90% ของพอร์ตทั้งระบบของเราและในประกันภัยรถยนต์นั้น 70% เป็น พ.ร.บ. ที่เหลือ 20% เป็นภาคสมัครใจอื่นๆ และ 10% เป็นประกันภัยอิสรภาพ และ พ.ร.บ.เรือ ทีนี้พอเริ่มขยายประกันที่ไม่ใช่ พ.ร.บ. ขยายมา 6 ปีแล้ว แต่สัดส่วนยังเหมือนเดิม เพราะเราอยู่กับ พ.ร.บ.มานาน ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ต้องฝึกคนของเราให้ขายสินค้าให้ขายสินค้าอื่นๆ ได้ด้วย
“ผมเป็นคนที่ทำหน้าที่ออกไปไกด์ให้คนเหล่านั้นรู้จักและขายสินค้าที่ไม่ใช่ พ.ร.บ. ให้เขาเห็นว่า เราขายสินค้าอื่นได้ การเดินสายไปต่างจังหวัดได้คุยกับ ตัวแทน เจ้าของอู่ ช่าง ทำให้เห็นหลายอย่าง และนำมาคุยกัน ทำให้เราได้คิด ได้ทำ และปรับนโยบายใหม่ๆ ออกมา”
คุณภูมิบอกว่า ตอนนี้ได้ช่วยกันคิดออกมาเป็นนโยบาย และทำสินค้าใหม่ออกมา มีแนวทางการทำงานใหม่ๆ เพื่อนำมาปฏิบัติอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้หลักๆ วันนี้ สามารถขยายงานประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจออกมา ซึ่งในปี 2560 ที่ผ่านมา มีเบี้ยประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจอยู่ที่ 85 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วง 20 ปีที่ผ่านมามีเบี้ยประกันภัยเฉลี่ยที่ 80 ล้านบาท ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี นับตั้งแต่เรา 3 คนร่วมทำงานกัน
“เรา 3 คน ทำงานกันเป็นทีม คุณบรุ๊คดูเรื่องระบบไอที เพื่อรองรับการทำงานงานให้เกิดความสะดวกคล่องตัว ส่วนคุณฮอลล์ดูภาพรวมของบริษัท ส่วนตนเองออกเดินสายตลาด โดยเราตั้งกรุ๊ปเราว่า Brainstrom คือ ช่วยกันคิด คุยกันทุกวันใน 3 คนพี่น้อง”
คุณภูมิบอกอีกว่า จาก 20 ปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานมีเบี้ยประกันภัยเฉลี่ยประมาณ 80 ล้านบาททุกปี แต่นับจากที่ได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงาน โดยความร่วมแรงกันของทั้ง 3 คนพี่น้อง ทำให้เป็นการเปลี่ยนแปลงไปในแนวทางที่ดี ปี 2560 มีเบี้ย 85 ล้านบาท ปี 2561 มีเบี้ย 89 ล้านบาท ปี 2562 มีเบี้ยประกันภัยกระโดดเป็น 131 ล้านบาท ที่มาจากเบี้ยประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ หากเทียบกับบริษัทบริษัทใหญ่ๆ เบี้ยเราเป็นแค่เบี้ยมด แต่หากมองถึงสิ่งที่เกิดคือเกิดจากการเปลี่ยนขององค์กรไซส์เล็กเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ เพราะจากเบี้ย 89 ล้านบาท กระโดดไปเป็น 131 ล้านบาทถือว่าไม่น้อย ในภาวะเศรษฐกิจ และการแข่งขันที่รุนแรงขนาดนี้ และอย่าลืมว่า เบี้ยประกันภัยใหม่ในธุรกิจประกันภัยรถยนต์ไม่ได้มาก โดยเฉลี่ยการเติบโตของเบี้ยประกันภัยใหม่ มีประมาณ 1-3 % ทุกปี เพราะหากคิดว่าเบี้ยประกันภัยที่เป็นเบี้ยใหม่ ส่วนมากจะเป็นเบี้ยรถใหม่ป้ายแดงซึ่งส่วนใหญ่จะตกไปอยู่ในมือของดีลเลอร์ไฟแนนซ์ การที่เราทำแบบนี้มันคือการโต้คลื่น
สำหรับเป้าหมายในปี 2563 ไทยพัฒนาประกันภัยจะมีเบี้ยประกันภัยทะลุ 200 ล้านบาท เฉพาะประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ และในปีต่อๆ ไปจะสร้างเบี้ยประกันภัยให้เพิ่มปีละ 100 ล้านบาท ซึ่งทุกอย่างมาจากที่แนวทางที่เรา 3 คนได้ร่วมกันทำงานร่วมกับทีมงานทั้งหมด
“เรา 3 คนมองว่า เราต้องทำให้บริษัทเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ให้ลองนึกถึงว่า จากรถที่ติดโคลนวิ่งต่อไปไม่ได้พอเราปลดล๊อคก็เริ่มเคลื่อนไปข้างหน้าได้ เหมือนมันหลุดได้เราก็จะวิ่งไปข้างหน้า เมื่อบริษัทฯ มีเบี้ยประกันภัยในกลุ่มรถยนต์ภาคสมัครใจ 300 ล้านบาท จะทำให้เบี้ยรับรวมของบริษัทอยู่ที่ 500-600 ล้านบาท โดยเฉลี่ยการประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจเป็นตัวที่จะให้เราโตได้เร็ว คาดว่าในช่วง 1-2 ปีนี้ บริษัทจะมีเบี้ยประกันภัยรับรวมประมาณ 500- 600 ล้านบาท และในอีก 5 ปี ตั้งเป้าไว้ว่าจะมีเบี้ยรับรวมไปถึง 1,000 ล้านบาท ที่ผ่านมาแม้เราจะมาช้ากว่าที่คิดไว้ไปบ้าง ก็ไม่เป็นไร เป้ามีไว้ให้พุ่งชน ด้วยภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ถือว่าการเติบโตของเราอยู่ในเกณฑ์ที่ดี”
“ไทยพัฒนาประกันภัย” ยังเชื่อมั่นในการขายผ่านตัวแทนและโบรกเกอร์ ส่วนช่องทางออนไลน์ก็มีแผนไว้แล้วแต่ตอนนี้ยังไปไม่ถึงตรงนั้น ส่วนการขยายไปยังกลุ่ม Non Motor คงเน้นกลุ่มเบ็ดเตล็ดและอื่นๆ ขณะที่การตลาดจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยที่แนะนำลูกค้ามีประกันภัย 3+ ซึ่งเป็นประกันที่ดีมาก มีความคุ้มครองตกรถถนน เราเป็นเจ้าแรก และเจ้าเดียวที่ทำ
“ภาพที่เราอยากให้ลูกค้าและคนทั่วไปเห็นและจดจำคือ เราเล็ก แต่เราแจ๋ว และเปรียบเสมือน คนไปโรงแรมบูติค ที่ได้รับการบริการเหมือนโรงแรม 5 ดาว ที่มีคนดูแลอย่างใกล้ชิด ห้องอาจจะเล็กหน่อย แต่เตียงนุ่ม อาหารอร่อย นี่คือภาพที่อยากให้ลูกค้าได้เห็น ”
“เล็กแต่แจ๋ว”คือ ภาพที่ผู้บริหารรุ่นหลานของไทยพัฒนาประกันภัยต้องการ ความเป็นบริษัทเล็กๆ แต่มีคุณภาพนั้น อาจจะไม่ใช่เรื่องจำนวนเบี้ยประกันภัยตามที่วาดหวังไว้ แต่อาจหมายความถึงระบบขององค์กร ทั้งทิศทางการบริหาร การบริการลูกค้า การสื่อสัมพันธ์กับลูกค้า การดูแลทีมงาน รวมไปบทบาททางสังคมของบริษัทด้วย