ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ประเมินแนวโน้มลักษณะการฟื้นตัวของภาคธุรกิจภายหลังการทยอยผ่อนคลายล็อกดาวน์ โดยพิจารณาจาก 2 ปัจจัย คือ 1.ความน่าจะเป็นในการทยอยปลดล็อกทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออกของแต่ละธุรกิจ รวมถึงความจำเป็นของลักษณะสินค้าต่อการดำรงชีวิตประจำวันของผู้บริโภค 2.ปัจจัยเสี่ยงด้านโครงสร้างธุรกิจเดิมและแนวโน้มจะได้รับผลกระทบ จากกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว
โดยแนวโน้มการฟื้นตัวของแต่ละธุรกิจ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
- ฟื้นแบบ V-Shape (ภายใน 3 เดือน) ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค บรรจุภัณฑ์ โรงพยาบาล/ คลินิกและยารักษาโรค ฟาร์มไก่ ฟาร์มหมู อาหารสัตว์ ไอทีและสื่อสาร จากลักษณะสินค้าที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวันและส่วนใหญ่พึ่งพิงตลาดในประเทศ ทำให้ยังคงการจ้างงานที่มีอยู่จำนวน 4.8 ล้านคน หรือ 29.6% ของการจ้างงานรวมของภาคธุรกิจที่จดทะเบียนธุรกิจ ซึ่งกระจายตัวไปในธุรกิจผลิต-ขายปลีก ขายส่งสินค้าอุปโภคบริโภคมากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มธุรกิจสุขภาพและผลิตไฟฟ้า เป็นต้น
- ฟื้นแบบ U-Shape (ในช่วง 3-6 เดือน) ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม เคมีภัณฑ์ พลังงานเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล การขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทางบกและทางเรือ บริการธุรกิจ รับเหมาก่อสร้าง กลุ่มนี้จะได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปจากการคลายล็อกดาวน์ของตลาดในประเทศและตลาดส่งออก ซึ่งช่วยให้ธุรกิจทยอยจ้างงานเพิ่มขึ้นในช่วง 6 เดือนข้างหน้า จากการจ้างงานปกติอยู่ที่ 6.4 ล้านคนหรือมีสัดส่วน 39.5% กระจายตัวไปในธุรกิจบริการทางธุรกิจ รับเหมาก่อสร้างและอาหารเครื่องดื่ม
- ฟื้นแบบ L-Shape (มากกว่า 6 เดือน) ได้แก่ โรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจการบิน ธุรกิจบันเทิงและการกีฬา ยานยนต์และชิ้นส่วน อสังหาริมทรัพย์ เฟอร์นิเจอร์ สินค้าแฟชัน เหล็ก ยางพารา คาดว่ากลุ่มนี้อาจจะฟื้นตัวไม่ทันปีนี้ จากมาตรการรัฐและพฤติกรรมของผู้คนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดและติดเชื้อ และผลกระทบจากกำลังซื้อที่หดหายไป รวมถึงภัยธรรมชาติ การแข่งขันในธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี กฎระเบียบของภาครัฐ ฯลฯ โดยคาดว่าในปี 2564 ธุรกิจเหล่านี้จะกลับจ้างงานได้ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562 ที่จำนวน 5 ล้านคน หรือมีสัดส่วน 30.9% กระจายไปอยู่ในธุรกิจร้านโรงแรมร้านอาหาร อสังหาริมทรัพย์และกลุ่มยานยนต์
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเตรียมพร้อมรับกับลักษณะการฟื้นตัว และกำหนดกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับธุรกิจ กล่าวคือ
-ฟื้นตัวแบบ V-Shape อาจมองหาตลาดใหม่เพิ่มเติม
-ฟื้นตัวแบบ U-Shape อาจจัดการแผนการผลิตและการตลาดในอีก 3-6 เดือนข้างหน้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงใช้ช่องทางการขายออนไลน์มากขึ้น
-ฟื้นตัวแบบ L-Shape จำเป็นต้องทำงานหนักขึ้น เพราะสิ่งที่เผชิญไม่ใช่แค่ COVID-19 แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างธุรกิจและกำลังซื้อลดลง ผู้ประกอบการต้องปรับโครงสร้างการทำงานให้มีประสิทธิภาพพร้อมทั้งลดต้นทุนให้มากที่สุด
สำหรับภาครัฐสามารถนำลักษณะการฟื้นตัวของ 3 กลุ่มธุรกิจข้างต้นไปกำหนดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกจ้างให้เหมาะสมตามการฟื้นตัวได้ด้วย