นายกี่เดช อนันต์ศิริประภา ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันวินาศภัยไทย นำคณะผู้บริหารสมาคมฯ เข้าประชุมหารือกับผู้บริหารระดับสูงของ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (มทร.) โดยมี ผศ. ดร. วิโรจน์ ลิ้มไขแสง อธิการบดี ผศ. ดร. เฉลิมพล เยื้องกลาง รองอธิการบดี ฝ่ายวิชาการและการรับประกันคุณภาพ และ ผศ. ดร. เอนก เจริญภักดี รองอธิการบดีฝ่ายกิจการสภามหาวิทยาลัยและโครงการพิเศษ ให้การต้อนรับที่ศูนย์กลางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา


นายกี่เดช เปิดเผยว่าจากการพบปะหารือกันในครั้งนี้ จะเป็นการต่อยอดโครงการธนาคารน้ำใต้ดินที่สมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้ดำเนินการขุดบ่อธนาคารน้ำใต้ดินในพื้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ ในตำบลเด่นราษฎร และ ตำบลดุกอึ่ง อำเภอหนองฮี จำนวนกว่า 3,000 บ่อเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วและได้ส่งมอบให้ทางจังหวัดร้อยเอ็ดไว้เป็นสาธารณประโยชน์ซึ่งเป็นโครงการธนาคารน้ำใต้ดิน “หนองฮีโมเดล” ที่สมบูรณ์แบบแห่งหนึ่งของประเทศไทย
ต่อมาทางคณะกรรมการบริหารของสมาคมฯจึงมีดำริที่จะสนับสนุนการต่อยอดโครงการกับ “มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน (มทร.) วิทยาเขตร้อยเอ็ด ณ ทุ่งกุลาร้องไห้” ที่อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด สร้างน้ำกลางดินทรายบนจุดสูงสุดของที่ราบสูง เพื่อให้เป็น “ศูนย์การเรียนรู้การจัดการน้ำครบวงจรด้วยระบบธนาคารน้ำใต้ดิน” เพื่อให้เป็นต้นแบบการจัดการน้ำใต้ดินในพื้นที่แห้งแล้งที่อยู่นอกเขตชลประทาน พร้อมทำเป็น “ศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านการเพาะปลูกข้าวหอมมะลิคุณภาพสูงและพืชผลนอกฤดูกาล” ในภาคอีสาน เพื่อให้เกษตรกรได้เข้ามาศึกษาและขยายผลของวิธีการทำเกษตรกรรมสมัยใหม่ให้เกิดการพัฒนาและสร้างความยั่งยืนในชีวิตของตนเอง
“ที่ผ่านมา ทาง มทร. ได้ขุดบ่อธนาคารน้ำใต้ดินไว้แล้วจำนวนหนึ่ง แต่เนื่องจากเป็นพื้นที่แห้งแล้งจัด น้ำจึงไม่เพียงพอ เมื่อเป็นเช่นนี้สมาคมฯจึงสนับสนุนงบประมาณให้ขุดเพิ่มอีก 10 บ่อ แยกเป็นบ่อเปิดขนาด 40×40×10 เมตรจำนวน 5 บ่อเปิดขนาด 10×10×10 เมตรอีก 3 บ่อและแบบทูอินวันอีก 2 บ่อ”
“นี่คือการเข้าไปช่วยเติมเต็มในการแก้ปัญหาน้ำของทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งที่ผ่านมาทาง มทร.ก็ได้ทำไปในระดับหนึ่งแล้ว จากไม่มีน้ำทำให้มีน้ำ จากหน้าแล้งปลูกอะไรไม่ได้เลย ก็สามารถปลูกพืชผักฟักทองปลูกถั่วลิสงได้ จากมีแต่ทรายหนาๆสูงๆไม่มีหญ้า ก็สามารถปลูกหญ้าให้เลี้ยงควายได้
ซึ่งเป็นความพยายามช่วยเหลือเกษตรกร ของสมาคมประกันวินาศภัยไทยในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย” นายกี่เดช กล่าวปิดท้าย