เคทีซี ไม่หวั่น TFRS9 คุมเข้มรายงาน NPL ปรับเกณฑ์ตั้งสำรองใหม่ มั่นใจกำไรเพิ่ม

0
602

นายชุติเดช  ชยุติ  รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส – คอร์ปอเรท ไฟแนนซ์  บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เคทีซี เปิดเผยถึงการนำมาตรฐานบัญชี TFRS9 มาใช้สำหรับงบการเงินตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ว่าไม่มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน  เพียงแต่การรายงานตัวเลขทางการเงินจะแตกต่างไปจากเดิม  ดังนี้

  1. หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จะสูงขึ้น เนื่องจากการตัดหนี้สูญ (Write off) ทำได้ช้าลง เพราะหนี้สูญที่ตัดออกเพื่อการใช้สิทธิทางภาษี จะยังไม่ถูกตัดออกจากรายงานจนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าไม่สามารถเรียกเก็บหนี้ได้      ดังนั้น  NPL บนมาตรฐาน TFRS9  จึงเทียบเคียงได้กับ Write off + NPL ตามมาตรฐานเดิม เช่น เดิมบริษัท A ตัดหนี้สูญปีละประมาณ 7-8% คงเหลือ NPL ประมาณ 1% แต่ภายใต้ TFRS9 จะรายงานประมาณ 8-9% ทำให้เห็นว่าตัวเลข NPL ดูสูงขึ้น
  2. การเปลี่ยนแปลงการบันทึก NPL เนื่องจาก NPL ที่รายงานภายใต้ TFRS9 มีจำนวนเพิ่มขึ้น ทำให้อัตราส่วนที่เกี่ยวข้องมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย เช่น ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อลูกหนี้รวม (Allowance/Port) ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อลูกหนี้ที่อายุเกิน 90 วัน (NPL Coverage) เช่น อัตราส่วนของ Allowance/Port ตามตัวเลขฐานใหม่อาจจะอยู่ประมาณ 9%-11% และ NPL Coverage อาจจะเป็นประมาณ 100%-200% ทั้งนี้ เมื่อมีการนำ TFRS9 มาใช้เต็มรูปแบบ จะทำให้สามารถประมาณการอัตราส่วนดังกล่าวได้ชัดเจนขึ้น
  3. การเปลี่ยนแปลงการบันทึกรายได้ ที่กำหนดให้บริษัทยังคงต้องรับรู้รายได้ดอกเบี้ยจาก NPL ไปจนกว่า NPL ดังกล่าวจะถูกตัดเป็นหนี้สูญ แม้ว่าจะอยู่ใน Stage 3 แล้วก็ตาม

4.การบันทึกกำไรทางบัญชีเพิ่มขึ้น  ซึ่ง TFRS9 กำหนดให้บริษัทต้องตั้งสำรองสำหรับ NPL ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย    ตามจำนวนที่ได้จากการคำนวณตาม ECL Model (Expected Credit Loss Model) ซึ่งไม่ใช่การตั้งสำรองเต็ม    100% เหมือนเดิม และกรณีที่มีส่วนต่างของรายได้ดอกเบี้ยและสำรองในส่วนของดอกเบี้ยน้อยกว่า 100% ก็ให้     รับรู้ผลต่างนั้นในงบกำไรขาดทุนด้วย ซึ่งมีผลให้กำไรทางบัญชีเพิ่มขึ้น

“มาตรฐานบัญชี TFRS9  โดยหลักแล้วส่งผลกระทบต่อการรายงานตัวเลข NPL  จากการเปลี่ยนแปลงการตัดหนี้สูญ ( Write Off) ที่เข้มกว่ามาตรฐานเดิม  ทำให้ดูเหมือน  NPL เพิ่มสูงขึ้น  แต่เมื่อตามเก็บหนี้มาได้ ก็จะมีการรับรู้รายได้กลับเข้ามา  ทำให้กำไรดีขึ้น อีกทั้งบริษัทไม่ต้องตั้งสำรองเต็ม 100 % สำหรับลูกหนี้ Stage 3  ค่าใช้จ่ายในการกันสำรองก็ลดลง ส่งผลดีต่อการดำเนินงาน” นายชุติเดช กล่าว

ดร.ศุภมิตร  เตชะมนตรีกุล  หุ้นส่วนสำนักงานด้านการสอบบัญชี บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ สอบบัญชี จำกัด  กล่าวว่า มาตรฐาน TFRS9 ปรับเปลี่ยนการจัดประเภทการวัดมูลค่า และการด้อยค่าของเครื่องมือทางการเงิน โดยกันเงินสำรองเพื่อรองรับผลเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากสินทรัพย์และภาระผูกพัน เช่น เงินให้สินเชื่อ เงินลงทุนในตราสารหนี้ สัญญาค้ำประกันทางการเงิน วงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้ จากแนวคิดเดิมที่กันเงินสำรองจากความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว (Incurred Loss) มาเป็นการกันสำรองเพื่อรองรับความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต (Expected Loss: EL) เพื่อให้เงินสำรองสะท้อนความเสี่ยงด้านเครดิตตลอดอายุของลูกหนี้ โดยกำหนดให้พิจารณาจากข้อมูลทั้งในอดีต ปัจจุบัน และเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต (Forward-looking Information)

ทั้งนี้พิจารณากันเงินสำรองต่างกันตามสถานะหรือชั้น (Stage) ของลูกหนี้ ดังนี้

Stage 1 กลุ่มที่เครดิตไม่เปลี่ยนแปลงจากวันแรกของการให้สินเชื่อ ให้กันเงินสำรองเพื่อรองรับความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นภายใน 1 ปีข้างหน้า (1-year EL)

Stage 2 กลุ่มที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

Stage 3 กลุ่มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-performing loan: NPL) ให้กันเงินสำรองรองรับความเสียหายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดอายุของลูกหนี้ (Lifetime EL) ทำให้สถาบันการเงินรับรู้เงินสำรองเร็วขึ้นตามสถานะของลูกหนี้ที่เปลี่ยนแปลงไป และงบการเงินสะท้อนฐานะที่แท้จริงอย่างเป็นปัจจุบัน

 

 

 

 

 

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่