อีสท์สปริง เปิดตัว ES-LOVE ลงทุนหุ้นผันผวนต่ำทั่วโลก

0
220

บลจ.อีสท์สปริง มองปี 2566 เศรษฐกิจยังผันผวน  แนะลงทุนหุ้นโลกที่มีความผันผวนต่ำ พร้อมเปิดตัว Eastspring Global Low Volatility Equity (ES-LOVE) ลงทุนในกองทุนหลัก Eastspring Investment Global Low Volatility Equity Fund คัดเลือกหลักทรัพย์ 250-350 จากหุ้นทั่วโลก 15,000 ตัว เน้นกลุ่มสุขภาพ กลุ่มสื่อสาร กลุ่มสินค้าจำเป็น  สร้างพอร์ตผันผวนต่ำ ป้องกันความเสี่ยงช่วงตลาดขาลง และสร้างผลตอบแทนที่ดีเมื่อตลาดปรับตัวเป็นขาขึ้น  เตรียมเสนอขายนักลงทุน 14-20 ก.พ. นี้

นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์’ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด  เปิดเผยถึงมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2566 ว่ายังคงมีความผันผวน จากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ นโยบายการเงินและการคลัง และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยคาดว่านโยบายการเปิดประเทศของจีนเมื่อต้นปีผ่านมา และการผ่อนคลายมาตรการควบคุมกลุ่มเทคโนโลยี จะส่งผลให้เศรษฐกิจจีนและเอเชียในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตได้ดีกว่าภูมิภาคอื่น

“คาดว่าเอเชียหลายประเทศได้รับประโยชน์จากการเปิดประเทศ โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยว เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม รวมทั้งไทย ในขณะที่อินเดียและ อินโดนีเซีย จะได้ประโยชน์จากการกระจายห่วงโซ่อุปทานเพื่อหนีการพึ่งพาจากจีน ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวไทยมากขึ้น”  

นายบิล มัลโดนาโด Chief Investment Officer, Eastspring Investments (Singapore) เปิดเผยถึงแนวทางการลงทุนของ ในปี 2566 ว่าจะเน้นการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนหลากหลาย โดยมีธีมการลงทุนทั้งในส่วนของกองทุนต่างประเทศและกองทุนในประเทศ ดังนี้

กองทุนต่างประเทศ จะลงทุนในธีม 1) หุ้นกลุ่มที่มีความต้านทานสูงช่วงตลาดผันผวน (Defensive) ทั้งหุ้นปันผล หุ้นผันผวนต่ำ รวมถึงหุ้นคุณภาพดีที่มีรายได้และกระแสเงินสดสม่ำเสมอ และมีผลการดำเนินงานไม่ผันแปรตามภาวะเศรษฐกิจมาก ซึ่งเหมาะกับการลงทุนในสภาวะเศรษฐกิจผันผวน และกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) 2) เน้นลงทุนในภูมิภาคเอเชีย 3)ตราสารหนี้โลกคุณภาพดี   4) ลงทุนที่เน้นถึงความยั่งยืน (ESG) กล่าวถึงการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน (ESG)

ทั้งนี้ภูมิภาคเอเชียให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมมากขึ้น  มีการระดมทุนในนวัตกรรมต่างๆ  เช่น รถยนต์ไฟฟ้า และพลังงานหมุนเวียนตามมาตาการ Net Zero และมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก

โดยจีนจะเป็นผู้นำการผลิตระบบพลังงานแสงอาทิตย์และครองห่วงโซ่อุปทาน อินโดนิเซียสร้างสวนอุตสาหกรรมรองรับอุตสาหกรรมสีเขียว เช่น ผลิตแผงแสงอาทิตย์ และแบตเตอรี่ลิเธียม ขณะที่มาเลเซีย มีอุตสาหกรรมผลิตอุปกรณ์ทดสอบอัตโนมัติ ทำให้เกิดการประหยัดพลังงานและลดขยะได้

กองทุนในประเทศ ได้แก่ 1)หุ้นปันผลและหุ้นขนาดใหญ่  2)หุ้นกู้เอกชนคุณภาพดีและพันธบัตรรัฐบาล  3) ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของไทย (REITs) ที่ได้รับประโยชน์จากการเปิดเมืองและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เริ่มทรงตัว รวมถึงอัตราผลตอบแทน (Yield) และส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (Yield Spread) อยู่ในระดับน่าสนใจราว 6.5% และ 3.5% ตามลำดับ

เปิดตัว ES-LOVE เน้นลงทุนในหุ้นโลก

นายบิล กล่าวว่า  บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย)  ได้ร่วมกับ Eastspring Investments (Singapore) เปิดตัวกองทุนเปิด Eastspring Global Low Volatility Equity (ES-LOVE) ที่เน้นลงทุนในหุ้นโลก เพื่อให้พอร์ตมีความผันผวนต่ำ ช่วยป้องกันความเสี่ยงในช่วงตลาดขาลง พร้อมสร้างผลตอบแทนที่ดีเมื่อตลาดปรับตัวเป็นขาขึ้น  โดยคาดว่าจะเสนอขายนักลงทุนระหว่างวันที่ 14-20 ก.พ. 2566 มูลค่า 5,000 ล้านบาท

โดยกองทุนเปิด Eastspring Global Low Volatility Equity เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ กองทุน Eastspring Investment Global Low Volatility Equity Fund (กองทุนหลัก) เพียงกองเดียว ในหน่วยลงทุนชนิด Class C Acc USD ไม่ต่ำกว่า80% ในรอบบัญชี

ทั้งนี้กองทุนหลักจะเน้นการลงทุนในหุ้นทั่วโลก ที่มีปัจจัยพื้นฐานและโมเมนตั้มที่ดี  มีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนให้ได้ใกล้เคียงกับดัชนีหุ้นโลก MSCI Ac World โดยคัดเลือกหลักทรัพย์ประมาณ 250-350 จากหุ้นทั่วโลก 15,000 ตัว  จากดัชนี S&P BMI Index โดยเน้นลงทุนในกลุ่มสุขภาพ กลุ่มสื่อสาร และกลุ่มสินค้าจำเป็น

“ช่วงที่ผ่านมาสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าเมื่อเทียบกับ ดัชนีชี้วัด MSCI AC World Minimum Volatility Index โดยข้อมูลย้อนหลัง 3 ปีสิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2565 อยู่ที่ 2.96% และ 1.62%  ขณะที่ข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 5.48% และ 4.57% ตามลำดับ”

แนะลงทุนหุ้น 60% เน้นพื้นฐานดี

ชี้จีนเปิดประเทศ A-share โดดเด่น  

นายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ สายการลงทุน บริษัทหลักจัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) กล่าวถึงการจัดพอร์ตการลงทุนในปี 2566 ว่าสัดส่วนลงทุนในหุ้นประมาณ 60% ตราสารหนี้ 40% โดยเน้นหุ้นต่างประเทศกลุ่มหุ้นคุณค่า(Value) มีพื้นฐานดี เช่น หุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภค (Consumer) โดยเฉพาะจีนเปิดประเทศเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจจีนชอบฝั่งหุ้นจีนที่เป็น A-share  ซึ่งเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจีนโดยตรงมากกว่า H-share

ส่วนสหรัฐฯ เนื่องจากตลาดรับรู้เรื่องเศรษฐกิจถดถอยไปแล้ว ถ้าเกิดขึ้นก็คงไม่รุนแรง  เพราะราคาหุ้นไม่แพงมาก และหนี้สินไม่ได้สูงเกินไป  ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังลงทุนได้   เพียงแต่ผลตอบแทนอาจจะอยู่ในระดับ 2-4% น้อยกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศ