นายตรรก บุนนาค ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงทิศทางค่าเงินบาทว่า มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง โดยสิ้นปี 2563 คาดว่าจะทรงตัวที่ 30 บาทต่อดอลลาร์ และยังคงแข็งค่าต่อเนื่องแต่ไม่เกิน 29 บาทต่อดอลลาร์ในปี 2564 จากปัจจัยภายนอก คือ เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า จากนโยบายตรึงดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน และการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อัดฉีดเงินเข้าไปในระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงเงินทุนไหลกลับเข้าสู่กลุ่มตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย และไทยได้รับอานิสงส์ไปด้วย ซึ่งกดดันค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ยังต้องติดตามปัจจัยต่างๆ ได้แก่ การแพร่ระบาดโควิด-19 และนโยบายการเงินการคลังของยุโรปที่จะรับมือโควิด-19 การพัฒนาและกระจายวัคซีน รวมไปถึง Brexit ว่าจะมีทิศทางต่อไปอย่างไร
สำหรับปัจจัยในประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัดที่คาดว่าจะยังเกินดุลในปีหน้าที่ระดับปีละประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศอสูง รับมือเงินทุนไหลออกอย่างรวดเร็วได้ ซึ่งเฉลี่ยทั้งปีเงินทุนจากตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นไหลออกประมาณ 3.1 แสนล้านบาท แต่ยังคงเกินดุลอยู่ 6 แสนล้านบาท ส่งผลให้เงินบาทยังคงแข็งค่าต่อไป
อย่างไรก็ตาม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการชะลอการแข็งค่าของค่าเงิน ลดความผันผวนของค่าเงินบาท รวมทั้งการ Recycle การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดด้วยการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การออกไปลงทุนในต่างประเทศ
“คาดว่า ธปท.พยายามดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกินกว่าระดับ 5-7% เมื่อเทียบกับค่าเงินในภูมิภาค หรือหากแข็งค่ามากกว่านี้ ธปท.ต้องมีมาตรการระยะสั้นออกมาดูแล ซึ่งในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จากผลการเลือกตั้งของสหรัฐ และวัคซีนโควิด-19 ทำให้เงินทุนที่ไหลออกอย่างรุนแรงในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 ไหลกลับเข้ามาอย่างรุนแรงในหุ้น และพันธบัตร ทำให้เงินบาทแข็งค่าอย่างรวดเร็ว”
นายตรรก กล่าวถึงผลกระทบเงินบาทแข็งค่าต่อภาคการส่งออกของไทยว่า ที่ผ่านมาผู้ประกอบการเคยชินกับค่าเงินที่ระดับ 30-31 บาทต่อดอลล่าร์ แต่เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาที่ 29 บาทต่อดอลล่าร์ และมีทิศทางจะยังแข็งค่าในระยะยาว ย่อมมีผลกระทบแน่นอน ซึ่งผู้ประกอบการควรหันมาใช้เงินสกุลท้องถิ่น (Local Currency ) ในการซื้อขายสินค้า เพื่อลดปัญหาความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน
“ การส่งออก-น้ำเข้า ถ้ายังต้องพึ่งพาเงินดอลลาร์ก็จะมีความเสี่ยงเรื่องค่าเงินผันผวน ดังนั้นหากผู้ประกอบการหันมาใช้เงินสกุลท้องถิ่น (Local Currency) ในการซื้อขายสินค้า ก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลดความเสี่ยง ลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลลาร์ได้ โดยเฉพาะสกุลเงินคู่ค้าในเอเชีย จะทำให้มีต้นทุนการเงินที่ต่ำลง เพราะประเทศเหล่านี้มีนโยบายลดดอกเบี้ยมาโดยตลอด” นายตรรก กล่าว
สำหรับอัตราดอกเบี้ย คาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ต่อปี ไว้ตลอดปี 2564 โดยคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะมุ่งเน้นมาตรการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดและยืดหยุ่น สนับสนุนการกระจายสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากขีดความสามารถในการลดดอกเบี้ยนโยบายมีจำกัด
ทางด้านมุมมองผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล นายตรรกคาดว่า ในระยะสั้นผลตอบแทนอยู่ในระดับคงที่ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2564 ที่ระดับ 0.5% ทำให้ยังไม่มีปัจจัยบวกต่อการปรับตัวขึ้นของพันธบัตรระยะสั้น แต่พันธบัตรระยะยาวมีแนวโน้มผลตอบแทนจะสูงขึ้น จากแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคตที่ทยอยฟื้นตัว ทั้งจากการลงทุนภาครัฐและเอกชนที่ดีขึ้น