“จิตตะ เวลธ์” ชี้ปี 2566 นักลงทุนไม่ควรพลาด ชวนคว้าโอกาสการลงทุนกระจายทุกมุมโลก“

0
173

“จิตตะ เวลธ์” ประเมินปี 2566 โอกาสการลงทุนกระจายอยู่ทุกมุมโลก ชี้ตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ รับอานิสงส์อัตราดอกเบี้ยที่เริ่มทรงตัว  ฟากจีนเปิดประเทศหนุนเศรษฐกิจ เอเชียฟื้น  ส่วนหุ้นไทยมีแรงส่งจากการท่องเที่ยวและการเลือกตั้ง  ขณะที่เวียดนามมีเสน่ห์ เป็นดาวเด่นในระยะยาว  เผยเตรียมทยอยปรับลดวงเงินลงทุนขั้นต่ำ ตั้งเป้าคนไทยทุกกลุ่มเข้าถึงการลงทุนได้มากขึ้น  

นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด  เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลกปี 2565 ว่ามีหลายปัจจัยที่กดดันการลงทุน ทั้งเงินเฟ้อที่พุ่งไม่หยุดจากสถานการณ์โควิด19  ซ้ำเติมด้วยสงครามรัสเซีย-ยูเครน ฉุดให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นไปอีก  ส่งผลอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น  ราคาสินทรัพย์ปรับตัวลง  ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวน  โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี S&P500 ปรับลดลง -14.39%   ขณะที่ฝั่งเอเชีย จีนกลับมาล๊อคดาวน์ กดดันดัชนี CSI300 ของจีนปรับลดลง -22.01%   ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบเหล่านี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำหรือส่งผลเชื่อมโยงกับการลงทุนในปีหน้า

สำหรับปี 2566  แม้ตลาดหุ้นยังคงผันผวนอยู่มาก   แต่หลายปัจจัยเริ่มคลี่คลายตั้งแต่ปลายปี 2565 อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มชะลอลง  โดยคาดว่าปีหน้ากรอบอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ที่ 5.00-5.25%  ส่งผลให้เงินเฟ้อที่ปัจจุบัน 7.7% จะลดลงตามไปด้วย   และคาดว่าปลายปี 2566  เฟดอาจจะส่งสัญญาณการปรับลดดอกเบี้ย  ซึ่งในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยทรงตัวและมีแนวโน้มที่จะปรับลดลง  ถือเป็นโอกาสของตลาดตราสารหนี้โดยเฉพาะพันธบัตรสหรัฐฯ และตราสารหนี้เอกชนที่มีคุณภาพหรือ Investment Grade หากนักลงทุนกล้าที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีและมีความมั่นคงในระยะยาว

อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ ยังมีแรงกดดันเรื่องเศรษฐกิจถดถอย (Recession)  ดังนั้นแม้จะไม่หวือหวา แต่ก็มีหุ้นบางกลุ่มที่สู้กับเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอยได้ เช่น กลุ่มสุขภาพ (Health Care) หรือหุ้นเมกะเทรนด์อย่างกลุ่มเทคโนโลยีที่ปีนี้ปรับลดลงมามาก โดยตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2656 ดัชนี Nasdaq ปรับลดลงมาแล้ว -26.70% จึงเป็นโอกาสดีที่จะเข้าลงทุนเพื่อรับเมกะเทรนด์ในอนาคต

ในฝั่งเอเชีย  ปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว คือการผ่อนคลายมาตราการ ZERO COVID และการเปิดประเทศของจีน โดยคาดว่าจีนจะดำเนินมาตรการเปิดเมือง ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2566 ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนที่ปรับลดลงไป -22.01%  กลับมาผงาดได้อีกครั้ง และยังเป็นอานิสงฆ์ส่งให้ตลาดหุ้นทั่วโลกให้ฟื้นตัว จึงเป็นโอกาสทองที่นักลงทุนควรเริ่มสะสมหุ้นจีน  เพื่อจะได้ไม่พลาดโอกาสครั้งใหญ่

ฟากตลาดหุ้นเวียดนาม  นักลงทุนไม่ควรพลาด ด้วยราคาหุ้นที่ปรับลดลงตั้งแต่ต้นปีลงมาที่ -30.03% ทำให้ P/E Ratio ค่อนข้างถูกอยู่ที่ 10.8  ประกอบกั เมื่อพิจารณาจากความต้องการลงทุนเพื่อย้ายฐานการผลิต ด้วยค่าแรงต่ำ และประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมหาศาล  ทำให้เวียดนามมีเสน่ห์ และเป็นดาวเด่นได้ในระยะยาว

ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นไทย กำลังเริ่มฟื้นตัวหลังเปิดประเทศในปี 2565 ซึ่งได้รับแรงหนุนจากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นในปี 2566 โดยเฉพาะไทยมีประเด็นการเลือกตั้ง ที่จะหนุนกำลังซื้อในประเทศให้ฟื้นตัว  ซึ่ง การเลือกแต่ละครั้งจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบจำนวนมาก  โดยตลาดหุ้นไทยและญี่ปุ่นถือเป็นแหล่งลงทุนที่มีเสถียรภาพ เหมาะที่จะนำมาสร้างสมดุลให้กับพอร์ตลงทุน  โดยหุ้นไทยแนะนำลงทุนในกลุ่มธนาคาร , ท่องเที่ยว และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศ

“ในฐานะนักลงทุนวิกฤตคือโอกาส  ดังนั้นในช่วงที่มีข่าวร้ายคือช่วงที่ต้องศึกษาหาหุ้น และรอจังหวะที่เหมาะสมเพื่อทยอยลงทุน   เพราะภาพตลาดหุ้นในระยะยาวใน 10 ปี จะติดลบประมาณ 3 ปี บวก 7 ปี และตลาดติดลบเกิน 20% ประมาณ 3 ปี จะเกิด 1 ครั้ง ซึ่งปีนี้เกิดขึ้นแล้ว  จึงถือว่าเป็นช่วงโอกาสที่ดี ถ้าเรามีมายเซ็ตนักลงทุน ที่มองผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงว่าคุ้มค่า” 

นายตราวุทธิ์ กล่าวว่าปี 2566  โอกาสของการลงทุนกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลกทั้งในและต่างประเทศ  โดยภาพของตลาดหุ้นไทยในอีก 1-2 ปีมีโอกาสขึ้นมากกว่าลง จากการบริโภคในประเทศ และการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้น เห็นได้จากยอดจองโรงแรมที่เพิ่มขึ้นเยอะมาก  ดังนั้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว สุขภาพ และธนาคารซึ่งได้รับผลผลดีจากดอกเบี้ยขาขึ้น

ขณะที่หุ้นต่างประเทศ  หุ้นจีนน่าสนใจมาก เพราะเจอปัจจัยลบต่อเนื่องมา 2 ปี ทั้งประเด็นอสังหา  การควบคุมหุ้นเทคโนโลยี  และมาตรการ Zeroโควิด  ซึ่งรัฐบาลจีนมีความเข็งแกร่ง สามารถออกมาตรการลดความร้อนแรงของปัญหาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของจีดีพี  และจีนจะเริ่มอัดฉีดเศรษฐกิจครั้งใหญ่ จึงมีความน่าจะเป็นสูงมากที่ตลาดจีนจะกลับขึ้นมาก่อนตลาดหุ้นอื่น โดยคาดการณ์ว่าจีดีพีจะโต 5% ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ  แนะนำหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีการแพทย์และสุขภาพ  และกลุ่มที่เติบโตได้ดีในยุคหลังโควิด 

สำหรับ จิตตะ เวลธ์  เป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่บริหารกองทุนส่วนบุคคล สตาร์ทอัพสัญชาติไทย   ที่นำอัลกอริทึมของ AI มาวิเคราะห์จัดอันดับหุ้น  เพื่อเฟ้นหา “หุ้นดีราคาถูก น่าลงทุน”  มาปั้นพอร์ตให้โตตาม เทรนด์เศรษฐกิจโลก  พร้อมระบบ Rebalance บริหารความเสี่ยงและจัดการพอร์ตอัตโนมัติ ด้วยค่าธรรมเนียม 0.5%  ปัจจุบันมีการจัดพอร์ตการลงทุนให้เลือก 3 แบบ ดังนี้  

1. Global ETF จัดพอร์ตตามทฤษฎีรางวัลโนเบลด้วย ETF หุ้นและตราสารหนี้ชั้นดีทั่วโลก เลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยง  ผลตอบแทนคาดหวัง 4-8% ต่อปี ลงทุนเริ่มต้น 50,000 บาท

2. Thematic  ลงทุนธีมเมกะเทรนด์   เช่น  เฮลท์เทค  เทคโนโลยี พลังงานสะอาด อีวี ฟินเทค    พร้อมเทคโนโลยีดูแลพอร์ตอัตโนมัติ ลงทุนเริ่มต้น 50,000 บาท

3. Jitta Ranking ลงทุน ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม’ แบบอัตโนมัติตามแนวคิด Warren Buffett  ใช้อัลกอริธึมวิเคราะห์งบการเงิน  มีทั้งในไทย เวียดนาม จีน ญึ่ปุ่น สหรัฐ  ลงทุนเริ่มต้น 500,000 บาท

นายตราวุทธิ์ กล่าวว่า การใช้เทคโนโลยี AI มาบริหารกองทุนส่วนบุคคล จะช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงการลงทุนหุ้นต่างประเทศที่มีคุณภาพได้ด้วยวงเงินลงทุนขั้นต่ำที่ไม่สูงมาก และมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่ากองทุนส่วนบุคคลที่มีในตลาด นักลงทุนสามารถลงทุนหุ้นต่างประเทศโดยที่ไม่ต้องติดตามหุ้นเอง  และเพื่อให้นักลงทุนเข้าถึงโอกาสการลงทุนหุ้นคุณค่าได้ง่ายขึ้น จึงได้ปรับลดงงเงินลงทุนขั้นต่ำของ Jitta Ranking ทุกนโยบาย

“เราปรับลดวงเงินลงทุนขั้นต่ำใน Jitta Ranking อย่างต่อเนื่อง จากช่วงเริ่มต้น 3 ล้านบาท ลดลงมาอยู่ 1 ล้านบาท และล่าสุดเหลือ 5 แสนบาท และก่อนหน้านี้ได้ปรับลดวงเงินลงทุนขั้นต่ำสำหรับแผนลงทุน Global ETF และ Thematic ลงมาเหลือ 50,000 บาท และยังคงเดินหน้าปรับลดวงเงินให้เป็น 10,000 ในเร็วๆนี้ และตั้งเป้าหลักพันในอนาคตเพื่อคนไทยมีโอกาสเข้าถึงการลงทุนได้อย่างแท้จริง”

ปัจจุบัน จิตตะ เวลธ์ บริหารกองทุนส่วนบุคคลมากที่สุดในไทย ด้วยจำนวน 63,000 บัญชี โดยตั้งเป้าให้เพิ่มเป็น 100,000 บัญชี ภายใน 3 ปี

“นอกจากความต้องการให้มีจำนวนผุ้ใช้ Platform มากขึ้นแล้ว การปรับลดวงเงินลงทุนขั้นต่ำยังทำให้คนไทยทั่วไปมีโอกาสเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น เพราะยังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องการลงทุน ขณะเดียวกันก็ถือเป็นโอกาสของ จิตตะ เวลธ์ ที่จะได้พัฒนาโพรดักซ์และพันธมิตรใหม่ๆให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้งานอีกด้วย” นายตราวุทธิ์กล่าวสรุป