เมืองไทยประกันชีวิต ปรับภาพลักษณ์องค์กรครั้งใหญ่ “Brightening the Brand”ชู Happiness Means Everything 

0
585

         นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL  เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 68 ปีที่ผ่านมา เมืองไทยประกันชีวิตได้มุ่งมั่นในการสร้างความสุขและรอยยิ้มแก่ทุกคน พร้อมดำเนินธุรกิจด้วยความโดดเด่น ทั้งในด้านของการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายและแตกต่างด้วยนวัตกรรม สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกไลฟ์สไตล์  อีกทั้งยังเป็นองค์กรที่มีความทันสมัยเป็นสากลโดยมีการขยายตลาดไปในหลายประเทศ(Regional Company) จนก้าวสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตไทยชั้นนำของประเทศที่อยู่ในใจคนไทยมาอย่างยาวนาน

          ในโลกที่พฤติกรรมของลูกค้ามีความหลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากปัจจัยด้านความล้ำสมัยในยุคดิจิทัล เมืองไทยประกันชีวิตยังคงเดินหน้าพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมผลักดันพลังแห่งความเป็นตัวตนของเมืองไทยประกันชีวิตให้เด่นชัดมากขึ้นอีกครั้ง ด้วยการปรับภาพลักษณ์องค์กรครั้งใหญ่ในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา หรือ Brightening the Brand ให้มีความสดใส ทันสมัย และเป็นสากลมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยสโลแกน “Happiness Means Everything: เพราะความสุขคือทุกอย่าง” มุ่งเน้นเรื่องของการส่งมอบความสุขในทุกด้านให้กับลูกค้า พนักงาน พันธมิตร และผู้เกี่ยวข้อง อย่างยั่งยืน พร้อมตอกย้ำจุดยืนนโยบาย MTL Everyday Life Partner พร้อมเดินเคียงข้างในทุกช่วงของชีวิต

          ตัวตนของเมืองไทยประกันชีวิตต่อจากนี้ จะยังคงความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์(Product) กระบวนการทำงาน(Process) และการให้บริการ(Services) ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายในรูปแบบเฉพาะบุคคล(Personalized) มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังได้ยกระดับองค์กรสู่ความเป็นสากล มีความทันสมัย และสามารถรับมือกับโลกยุคดิจิทัลได้เต็มตัวด้วยการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า(Data Analytics) โดยนำระบบกระบวนการทำงานอัตโนมัติ(Robotic Process Automation หรือ RPA) ทำให้การทำงานเป็นแบบอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการนำปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence หรือ AI) มาใช้ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็ว สะดวก และง่ายยิ่งขึ้น

         “บริษัทฯ ได้มีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจในด้านต่างๆ (Ecosystem Partners) เพื่อดูแลลูกค้าได้อย่างครอบคลุม อาทิ เครือข่ายสถานพยาบาล ห้างสรรพสินค้า รวมถึงพันธมิตรในตลาดอีคอมเมิร์ซ และกลุ่มสตาร์ทอัพด้าน InsureTech หรือ HealthTech มาช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างเข้าถึง และต่อจากนี้เมืองไทยประกันชีวิตจะเป็นองค์กรที่คนอยากเข้าร่วมงานอันดับต้นๆ เพราะได้ปรับโครงสร้างเพื่อให้พนักงานสามารถเติบโตก้าวหน้าควบคู่ไปกับการทำงานอย่างมีความสุข มีความพึงพอใจ และจะเป็นศูนย์รวมของผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ ความรู้ความสามารถ ในหลากหลายมิติ เพื่อคิดค้นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ กระบวนการทำงาน และการให้

           เขากล่าวอีกว่า การ Brightening the Brand ในครั้งนี้ นอกจากจะได้เห็นตัวตนที่ชัดเจนขึ้นของเมืองไทยประกันชีวิตแล้ว ยังจะได้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ผ่านโลโก้ที่มีรูปลักษณ์โค้งมน สื่อสารผ่านสีที่หลากหลายขึ้น เพื่อสื่อถึงความสดใส เข้าถึงง่าย สร้างความใกล้ชิดกับลูกค้าเพื่อมุ่งผลักดันให้บริษัทฯ เป็นองค์กรยุคใหม่ ที่พร้อมขยายธุรกิจและฐานลูกค้าออกไปสู่ตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง พร้อมเปิดตัวสัญลักษณ์แห่งความสุข หรือ Celebration โดยมีความหมายแสดงถึง “การปกป้องดูแล” ที่จะติดตามไปทุกที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

            นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าสู่การเป็นผู้นำตลาดในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและสุขภาพที่โดดเด่นด้านนวัตกรรม สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างเหมาะสมและตรงจุด โดยล่าสุดได้เปิดตัวโครงการ “เอ็กซ์ตร้า แคร์  พลัส” ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่ ลูกค้าจะได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่าย โดยเป็นการท็อปอัพ (Top Up) จากสวัสดิการหรือประกันสุขภาพที่มี จึงช่วยให้เบี้ยประกันภัยถูกกว่าความคุ้มครองสุขภาพทั่วไป เพราะจ่ายเบี้ยเพียงหลักพัน(1)แต่ได้ความคุ้มครองสูงถึงหลักแสน เลือกค่าห้องได้สูงสุด 8,000 บาท/วัน(2)  โดยลูกค้าสามารถเลือกความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลได้สูงสุดถึง 400,000 บาท/ครั้ง(3) ไม่ต้องสำรองจ่ายเมื่อเข้ารับการรักษากับสถานพยาบาลในเครือข่ายกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ พร้อมนำเบี้ยประกันภัยไปใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้        ขณะที่ในด้านการบริการของเมืองไทยประกันชีวิตได้พัฒนาและผสมผสานรูปแบบของการบริการ ทั้งเรื่องของนวัตกรรมใหม่ๆ การบริการผ่านระบบ Digital และ Non Digital ทั้งรูปแบบการบริการเชิงรับและเชิงรุก เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่ต้องการใช้บริการทั้ง Self Service และ Human Touch ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุก Journey ของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ามีแต่รอยยิ้มในทุกครั้งที่เราพบกัน ผ่านโมเดลการให้บริการที่เรียกว่า “MTL Smile Service” ซึ่งประกอบไปด้วย “MTL Smile Care” “เมืองไทย Smile Club” “MTL Smile Tech” และ “MTL Smile Touch” เพื่อส่งมอบความสุขให้กับลูกค้า นับตั้งแต่ก้าวแรกที่ลูกค้าสนใจในผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ทุกกระบวนการนำเสนอ ตลอดจนการส่งมอบบริการหลังการขายอย่างเป็นเลิศให้กับลูกค้า นับจากวันแรกตลอดจนช่วงชีวิตของลูกค้า

          ที่พิเศษสุดในการ Brightening “เมืองไทย Smile Club” ต้นตำรับกิจกรรมเพื่อความสุขและรอยยิ้ม ภายใต้ภาพลักษณ์ใหม่ ที่เข้มข้นไปด้วยกิจกรรมและสิทธิประโยชน์ที่ถูกสร้างสรรค์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในทุกๆ มิติ อีกทั้งยังมีการพัฒนาด้าน Innovation Trend, Personal Life และไลฟ์สไตล์ ต่างๆ รวมถึงกระบวนการพัฒนาเรื่องของ Ecosystem ในการผนึกกำลังกับพันธมิตรให้มีความแข็งแรง และตอบโจทย์ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้สมาชิกฯ ได้ “Smile is All Around” สุขรอบกาย สไมล์รอบตัว ตลอดทั้งปี

          นอกจากนี้เมืองไทยประกันชีวิต ได้เปิดตัวแอปพลิเคชันใหม่ในชื่อ “MTL Smile App” เพื่อเพิ่มศักยภาพในการบริการดูแลลูกค้าและตอบสนองความต้องการในยุคดิจิทัล แอปพลิเคชันใหม่ สามารถให้ลูกค้าดู Portfolio ของตนได้ โดยแบ่งตามรูปแบบของผลิตภัณฑ์เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย โดยเห็นภาพรวมความคุ้มครองและการลงทุนของตนเอง อีกทั้งลูกค้าสามารถทำบริการผ่านแอปพลิเคชัน ไม่ว่าจะเป็นการเคลม ติดตามผล ดูประวัติการเคลม ชำระเบี้ยประกันภัย ขอเอกสารต่าง ๆ เช่น หนังสือรับรองการชำระเบี้ยประกันภัย รวมถึงฟังก์ชัน  “My Health Care” ที่สามารถหาโรงพยาบาลคู่สัญญาที่สามารถใช้สิทธิความคุ้มครองสุขภาพที่ใกล้ลูกค้ามากที่สุด และการพบแพทย์ผ่าน Virtual Hospital สำหรับประกันชีวิตและสุขภาพกลุ่ม ที่ปัจจุบันทำร่วมกับโรงพยาบาลสมิติเวช โดยที่ผู้มีประกันชีวิตและสุขภาพกลุ่มกับเมืองไทยประกันชีวิตสามารถปรึกษาแพทย์และรับยาตามสิทธิที่ได้เสมือนการพบแพทย์ผ่านโรงพยาบาล

         แอปพลิเคชัน “MTL Smile App” ยังสามารถให้บริการด้านการขอเงินกู้ตามสิทธิของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่มีมูลค่าเงินสดและส่งตรงเข้าถึงบัญชีของลูกค้า และเหล่านี้คือบริการเบื้องต้นที่ “MTL Smile App” สามารถทำได้ และการพัฒนาจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีการออกฟังก์ชันใหม่เพื่อตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยบริการถัดมาที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้คือบริการ “Smile Club” สำหรับการบริหารจัดการคะแนนสมาชิกและบริการเสริมต่างๆ ที่เมืองไทย Smile Club มีให้กับลูกค้า

         “ขั้นตอนการพัฒนาถูกทำขึ้นจากการพูดคุยและทดสอบจากกลุ่มลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายเพื่อให้ตอบโจทย์และเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง และผลจากการได้พูดคุยและทราบถึงพฤติกรรมของลูกค้า ทำให้เราเห็นว่าในหนึ่งครอบครัวมักจะมีคุณพ่อหรือคุณแม่ที่เป็นผู้จัดการดูแลเรื่องการประกันภัยให้คนในครอบครัว จากพฤติกรรมดังกล่าวทำให้เราพัฒนาฟีเจอร์ หรือบริการที่เรียกว่า “My Shared Policy” ที่ให้สมาชิกในบ้านสามารถแชร์ข้อมูลกรมธรรม์ให้แก่กันบนแอปพลิเคชันได้โดยผู้ที่เป็นหลักของครอบครัวสามารถจ่ายเบี้ยประกันภัยให้สมาชิกในครอบครัวได้ผ่านแอปพลิเคชันเช่นกัน และเพื่อความปลอดภัยการแชร์จะต้องผ่านการยอมรับจากทั้งผู้แชร์และผู้รับ” นายสาระกล่าว

         นายสาระ กล่าวว่า ในโอกาสนี้เมืองไทยประกันชีวิตยังได้เปิดตัววิธีการทำงานแบบใหม่ในยุคของการ Disruptive บนพื้นที่การทำงานใหม่ที่เรียกว่า“Transformation Work Place” ในชื่อ “The Garage by Muang Thai Life”  เพื่อให้พนักงานได้ปฏิบัติงานในโครงการพิเศษต่างๆ และเป็นพื้นที่สำหรับการเสริมสร้างความสามารถที่รอบด้านมากขึ้น (Multi Skill) แก่พนักงาน  และนำมาซึ่งนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ (Products) กระบวนการทำงาน (Process) และการให้บริการ (Services) ที่จะตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าแบบ Outside In ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

หมายเหตุ :

(1)    ขึ้นอยู่กับ อายุ เพศ และแผนความคุ้มครองที่เลือก

(2)    สำหรับแผน 6

(3)    กรณีเลือกแผน 5 หรือแผน 6 โดยเป็นค่าใช้จ่ายหลังจากหักการชดใช้ที่ได้รับมาแล้ว จากสวัสดิการของรัฐ สวัสดิการอื่น หรือกรมธรรม์อื่น ไม่ว่าจะทำไว้กับบริษัทใด

• สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ เอ็กซ์ตร้า แคร์ ต้องซื้อแนบท้ายกรมธรรม์ที่มีผลบังคับอยู่

• โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครองและข้อยกเว้นก่อนการตัดสินใจทำประกันภัย

• เงื่อนไขในการร่วมกิจกรรมเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด

 

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่