กลุ่มบริษัทเอไอเอ เผยผลการดำเนินงานธุรกิจใหม่ในไตรมาสที่ 3 ประจำปี 63

0
464

        นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทเอไอเอในไตรมาสที่(Q) 3 ว่า ยังมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งโดยมีมูลค่าธุรกิจใหม่เติบโต 22% เมื่อเทียบกับ Q2 ในปีเดียวกัน เป็นผลมาจากการผ่อนปรนของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมีเบี้ยประกันภัยรับรวมเติบโต 7% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทำให้การดำเนินธุรกิจของเอไอเอยังคงฟื้นตัวอย่างมั่นคง เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้รับการควบคุมเป็นอย่างดีในหลายประเทศที่เอไอเอดำเนินธุรกิจอยู่ ทำให้มีการผ่อนคลายของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ในขณะที่การขายผ่านออนไลน์ยังคงเป็นช่องทางสำคัญที่สร้างยอดขายในบางประเทศ แต่เราก็เห็นถึงสัดส่วนของยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการขายแบบพบเจอลูกค้าเช่นกัน

       ทั้งนี้รูปแบบการทำงานของเอไอเอในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาทิ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางของกลุ่มบริษัทใน Q3 ลดลงถึง 75% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ความร่วมมือและการติดต่อสื่อสารภายในกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 30 วันที่ผ่านมา โดยพนักงานของเอไอเอมีการประชุมผ่านวิดีโอออนไลน์เกือบ 280,000 ครั้ง ผ่านระบบเสียงออนไลน์กว่าหนึ่งล้านครั้ง ทั้งนี้การยอมรับเทคโนโลยีรวมถึงการเปลี่ยนแปลงในวิธีการทำงาน จะเป็นส่วนสำคัญในแผนงานกลยุทธ์ของเราในการเปลี่ยนแปลงเอไอเอ แม้ว่าจะเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของการทำงานด้วยรูปแบบนี้ แต่เราก็สามารถทำได้อย่างดีเยี่ยม

       นายหลี่ หยวน ชยอง กล่าวอีกว่า ธุรกิจบางตัวของเอไอเอเป็นแบบดิจิทัลเต็มตัวแล้วทำให้สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่ปกติในช่วงเวลานี้ ยกตัวอย่างเช่น การร่วมมือของเราในประเทศอินเดีย ซึ่งบริษัท ทาทา เอไอเอ ประกันชีวิต สามารถสร้างการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ใน Q3 ได้ดีเยี่ยม แม้ว่าจะอยู่ในช่วงมาตรการปิดเมือง ทั้งนี้เป็นผลมาจากความสามารถในการปรับใช้วิธีการขายแบบออนไลน์ ในขณะที่การเปลี่ยนรูปแบบการสรรหาตัวแทนมาเป็นแบบออนไลน์ในประเทศจีน ก็ช่วยให้เราประสบความสำเร็จในการเพิ่มจำนวนตัวแทนอย่างแข็งแกร่งในปี 2563″

        “เราได้ดำเนินแผนงานตามกลยุทธ์ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ธุรกิจในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในการเปลี่ยนเป็นบริษัทประกันชีวิตที่เอไอเอลงทุนเองทั้งหมดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เอไอเอ ประเทศจีนได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับดูแลการธนาคารและการประกันภัยแห่งประเทศจีนในการเริ่มก่อตั้งสาขาใหม่ในมณฑลเสฉวน ซึ่งสาขาใหม่นี้จะเป็นสาขาแรกในประเทศจีนตะวันตก และเป็นก้าวแรกของแผนงานของเรา ที่ต้องการขยายธุรกิจให้ครอบคลุมในประเทศจีน” นายหลี่ หยวน ชยองกล่าว

        ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทเอไอเอยังได้ประกาศร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระยะยาวกับบริษัท Practo Pte จำกัด ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการดูแลสุขภาพแบบดิจิทัลชั้นนำในประเทศอินเดียที่มีเครือข่ายกับโรงพยาบาลและคลินิคชั้นนำกว่า 70,000 แห่ง นอกจากนี้ ทาทา เอไอเอ ประกันชีวิตยังได้ขยายระยะเวลาการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับธนาคาร IndusInd จำกัด ไปอีก 10 ปี

       “ผมมีความภูมิใจอย่างมากที่เอไอเอยังคงสามารถส่งมอบความอุ่นใจและความคุ้มครองให้แก่ลูกค้ากว่าหลายล้านคนของเรา และธุรกิจของเราได้ปรับตัวตามสถานการณ์การดำเนินธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็วและว่องไว พนักงานของเราทำงานอย่างมุ่งมั่นในทุกวัน เพื่อให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานและเพื่อปรับรูปแบบองค์กรเอไอเอ ให้มีความง่าย รวดเร็ว และเชื่อมต่อกันมากขึ้น ในขณะที่สถานการณ์ของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังไม่เป็นที่แน่นอน ผมมีความมั่นใจว่าเอไอเอจะสามารถผลักดันให้ธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพมีการเติบโตทั่วทั้งเอเชีย รวมถึงการส่งมอบผลประโยชน์อย่างยั่งยืนในระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้นของเรา และการมุ่งมั่นส่งเสริมการมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่ลูกค้าของเรา”

      สำหรับภาพรวม Q3 ของปี 63 กลุ่มบริษัทเอไอเอมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งต่อเนื่องในด้านยอดขายของธุรกิจใหม่โดยมูลค่าธุรกิจใหม่(VONB) เพิ่มขึ้นถึง 22% เมื่อเทียบกับ Q2 ของปี 63 เป็นผลมาจากการเติบโตของเกือบทุกตลาดที่ดำเนินธุรกิจทำให้มีอัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่เท่ากับ Q2 เป็นผลมาจากการลดลงของสมมติฐานเชิงเศรษฐกิจที่มีความเปลี่ยนแปลง รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านส่วนผสมทางภูมิศาสตร์ ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการควบรวมกิจการลดลงในขณะที่ยอดขายรายไตรมาสเติบโตขึ้น

      นอกจากนี้ช่องทางตัวแทนมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกันโดยสามารถสร้างตัวแทนใหม่เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับ Q3 ของปี 62 ในขณะที่ยอดขายระหว่าง 9 เดือนแรกของปีนี้มีปริมาณลดลงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน แต่ภาพรวมของธุรกิจยังมีอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นโดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวม(TWPI) มีมูลค่า 8,797 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับ Q3 ของปี 62 และมีอัตราความยั่งยืนของกรมธรรม์ที่แข็งแกร่ง

      สำหรับอัตราการเวนคืนกรมธรรม์ในประเทศไทยและมาเลเซียในช่วง Q3 ยังคงลดลง รวมถึงภาพรวมของประสบการณ์เชิงบวกในด้านการเรียกร้องสินไหมค่ารักษาพยาบาลที่รายงานต่อกลุ่มบริษัทในครึ่งปีแรกของปี 63 ยังคงดีต่อเนื่องมาถึง Q3

      ทั้งนี้เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งประวัติศาสตร์ของเอไอเอในจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินงานใหม่จากเดิมทำในรูปแบบสาขามาเป็นรูปแบบของบริษัทในเครือใน หรือ บริษัท ประกันชีวิตเอไอเอ จำกัด ซึ่งเป็นการลงทุนเองทั้งหมด โดยก่อนหน้าเปิดดำเนินการพนักงานต้องทำงานอย่างหนักในส่วนของกระบวนการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เนื่องจากต้องประสานงานกับคู่สัญญาที่มีอยู่มากกว่า 2,000 ราย และหน่วยงานภาครัฐกว่า 150 แห่งทั่วประเทศภายในระยะเวลา 3 เดือน โดยเริ่มดำเนินธุรกิจในจีนแผนดินใหญ่ได้เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ที่ผ่านมา

        โครงสร้างธุรกิจใหม่นี้เป็นส่วนสำคัญในการสานต่อแผนการดำเนินงานของเอไอเอในประเทศจีน และกำลังอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการเพื่อเปิดสาขาใหม่ในมณฑลเสฉวน ปัจจุบันเอไอเอมูลค่าธุรกิจใหม่ในจีนจนถึง Q3 เติบโตใกล้เคียงกับ Q2 ก่อนที่จะมีการปรับอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายเป็นร้อยละ 5 เมื่อวันที่ 9 ก.ค.63 และเอไอเอ ประเทศจีน ยังคงสร้างมูลค่าธุรกิจใหม่ให้กับกลุ่มบริษัทมากที่สุด โดยใน 9 เดือนแรกของปี 63 มีการพัฒนาคุณภาพของพรีเมียเอเจนซี่สร้างตัวแทนใหม่ได้เพิ่มขึ้นสูงเป็นตัวเลขสองหลักทั้งจำนวนตัวแทนและระดับหัวหน้าตัวแทน ส่วนในฮ่องกง เอไอเอมีมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นจากการยอดขายในประเทศพอประมาณเมื่อเทียบไตรมาสที่แล้ว ในขณะที่ยอดขายจากนักท่องเที่ยวในจีนแผนดินใหญ่ยังคงแทบจะเป็นศูนย์เนื่องมาจากมาตรการกักกันตัวก่อนเข้าประเทศ

        สำหรับ เอไอเอ ประเทศไทย มีการเติบโตที่แข็งแกร่งใน Q3 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องมาจากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นทั้งจากช่องทางตัวแทนและช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ ในขณะประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียเติบโตดี  โดยมีมูลค่าธุรกิจใหม่เติบโตมากกว่าสองหลักใน Q2 และเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก Q3 ของปี 62 การผ่อนคลายของมาตรการในหลายๆ ประเทศส่งเสริมต่อการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่ในหลายตลาดที่เอไอเอดำเนินธุรกิจอยู่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ในอินเดียวบริษัท ทาทา เอไอเอ ประกันชีวิต มีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างยอดเยี่ยมเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และเมื่อเทียบกับพื้นฐานดัชนีการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดียท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาด ปัจจุบันทาทา เอไอเอ ประกันชีวิตเป็นผู้นำในตลาดลูกค้ารายย่อย ส่วนตลาดอื่นๆ ก็มีการเติบโตของมูลค่าธุรกิจใหม่เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วเช่นกัน

       นอกจากนี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ ยังให้มุมมองด้านเศรษฐกิจ ว่า หลังจากการหดตัวอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีแรกของปี 63 บางประเทศได้ฟื้นตัวกลับมาเติบโตใน Q3 ซึ่งรวมถึงประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั้นแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ตามประสิทธิภาพของมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และนโยบายของรัฐบาล รวมถึงความสำคัญและความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมการผลิต และยังมองว่าสถานการณ์ในระยะกลางยังคงไม่แน่นอน จากการที่จำนวนผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ยังคงเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ และความตึงเครียดทางการเมืองและทางการค้าสูง อย่างไรก็ตาม ความต้องการในผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและการบริการของเอไอเอยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เนื่องจากความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้น อัตราการทำประกันชีวิตที่ต่ำ และความคุ้มครองจากสวัสดิการสังคมที่ยังคงอยู่ในอัตราที่ต่ำ ซึ่งเอไอเอมีทั้งช่องทางการขายที่แข็งแกร่ง ผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรม การเป็นผู้นำตลาดและความเข้มแข็งทางการเงิน ทำให้มีโอกาสที่จะสร้างการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพในเอเชียในระยะยาว

      ด้านความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยนเอไอเอได้รับเบี้ยประกันภัยส่วนใหญ่เป็นเงินสกุลท้องถิ่น ซึ่งทำให้สินทรัพย์และหนี้สินของเรามีมูลค่าใกล้เคียงกัน ซึ่งช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากความเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยน ทั้งนี้ ในรายงานงบการเงินของกลุ่มบริษัทเอไอเอ ที่มีการแปลเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เกิดผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน  ดังนั้น เราจึงมีการรายงานอัตราการเติบโตจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เว้นแต่ระบุเป็นอย่างอื่น เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนของผลการดำเนินธุรกิจระหว่างปี

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่