ธนาคารกสิกรไทย เตรียมร่วมลงทุน 15,000 ล้านบาท กับ “บริษัทในกลุ่มธุรกิจคาราบาว” รุกแผนพัฒนาร้านสะดวกซื้อชุมชน “ถูกดี มีมาตรฐาน” จำนวนร้าน 30,000 ร้าน ภายในปี 2567 ตั้งเป้าเป็นผู้นำธุรกิจร้านสะดวกซื้อชุมชนในประเทศไทยที่ให้บริการการเงินและสินเชื่อครบวงจร พร้อมเปิดโอกาสให้คนในชุมชนเป็นเจ้าของ
นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ชุมชนนอกตัวเมืองในจังหวัดต่างๆ ที่สาขาของธนาคารยังเข้าไม่ถึง เป็นพื้นที่ที่ลูกค้ามีความต้องการใช้บริการการเงิน เพราะบางส่วนไม่มีบัญชีเงินฝาก ไม่มีหลักฐานการเงินที่ทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ การร่วมลงทุนกับ “บริษัทในกลุ่มธุรกิจ คาราบาว” เป็นยุทธศาสตร์ของธนาคารที่ตั้งใจพัฒนาร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของชุมชน ทำให้ทุกคนที่อยู่ในวงจรของ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ตั้งแต่เจ้าของร้าน คู่ค้า ชาวบ้านในชุมชน สามารถจับจ่ายใช้สอยและใช้บริการการเงินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น รวมถึงสามารถเข้าถึงสินเชื่อธนาคารได้ง่ายขึ้น สร้างรายได้หมุนเวียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจในชุมชน
การพัฒนา “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ธนาคารมีแผนดำเนินการร่วมกับบริษัทในกลุ่มธุรกิจคาราบาว ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่
- ส่งเสริมศักยภาพของร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” ให้เป็นร้านสะดวกซื้อชุมชนที่เป็นรากฐานเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ โดยใช้เทคโนโลยีการบริหารจัดการร้านและระบบการชำระเงินต่างๆ
- เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและค้าขายต่างๆ โดยธนาคารนำข้อมูลการจับจ่ายในชีวิตประจำวันมาใช้ในการพิจารณาสินเชื่อ ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ไม่มีหลักฐานแสดงรายได้ประจำ หรือเจ้าของร้านค้าที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนภายในร้าน
- เป็นจุดให้บริการธุรกรรมการเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันกับคนในชุมชน เช่น บริการถอนเงิน จ่ายบิล เป็นต้น รวมทั้งเพิ่มบริการดิจิทัลต่างๆ เช่น สแกนจ่ายด้วยคิวอาร์ โค้ด ซึ่งคนในชุมชน ส่วนใหญ่เริ่มคุ้นเคยแล้ว เป็นผลจากนโยบายส่งเสริมจากภาครัฐในช่วงผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19
ความร่วมมือครั้งนี้ ทำให้ธนาคารมีจุดบริการเคแบงก์ เซอร์วิส (KBank Service) เพิ่มขึ้นอีก 30,000 จุด จากเดิม 27,000 จุด เพิ่มช่องทางการให้บริการได้ลึกถึงแหล่งชุมชนและครอบคลุมทั่วประเทศ โดยปัจจุบันมีช่องทางให้บริการผ่านสาขา 830 สาขา ตู้เอทีเอ็มและตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ รวม 11,000 ตู้ และ K PLUS ที่มีลูกค้าใช้งานกว่า 18 ล้านราย
ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนรวมกว่า 15,000 ล้านบาท ครอบคลุมการร่วมลงทุนผ่านตราสารการลงทุนที่ให้สิทธิลงทุนในหุ้นของบริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด และเตรียมลงนามในสัญญาร่วมทุนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อให้บริการสินเชื่อเต็มรูปแบบ รวมถึงการสนับสนุนทางการเงินให้กับ “บริษัทในกลุ่มธุรกิจคาราบาว”
นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด เปิดเผยว่า ความร่วมมือระหว่าง “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” กับธนาคารกสิกรไทย ในครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างกำลังซื้อให้กับชุมชน และความแข็งแกร่งให้กับ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ในการให้บริการแก่ผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของร้านซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ของ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ในปัจจุบัน และเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเปิดร้านรายอื่นๆ ที่จะเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ในอนาคต ตลอดจนซัพพลายเออร์และผู้ผลิตสินค้าต่างๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ในตลาดค้าปลีกได้มากยิ่งขึ้น
ยุทธศาสตร์ของบริษัทในการพัฒนา “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ไม่ได้พัฒนาและปรับร้านโชห่วยให้มีความทันสมัยเท่านั้น แต่วางเป้าหมายให้เป็นเสมือน “แพลตฟอร์ม”และ “โครงข่าย” ที่เชื่อมโยงกันเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในชุมชนทั่วประเทศ ตอบโจทย์และเพิ่มความสะดวกให้คนในชุมชน เชื่อมต่อผู้ผลิต และผู้ให้บริการต่างๆ ที่คนในชุมชนเข้าถึงได้ยาก เช่น บริการทางการเงิน, เป็นจุดรับส่งสินค้าในชุมชน, บริการสินค้าทางการเกษตร ฯลฯ โดยเฉพาะในชุมชน หมู่บ้านที่ห่างไกล ที่สิ่งอำนวยความสะดวกยังเข้าไม่ถึง
“ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” เป็นโครงข่ายร้านค้าปลีก ภายใต้การบริหารงานของนายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด ที่มีแนวคิดสร้างมาตรฐานวงการร้านค้าปลีกชุมชน ด้วยการยกระดับมาตรฐานร้านค้าปลีกให้ทันสมัยด้วยความรู้ และเทคโนโลยีการบริหารจัดการร้าน โดยชูโมเดล “ร้านค้าชุมชน โดยชุมชน เพื่อชุมชน” ร้านสะดวกซื้อชุมชนสมัยใหม่ ที่สนิทใจลูกค้า เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน และมุ่งแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายมาโดยตลอด กับแนวคิด “กินแบ่ง ไม่กินรวบ” โดยถือเป็นร้านสะดวกซื้อชุมชนที่เติบโตเร็วที่สุด ปัจจุบันมีจำนวนร้านที่เปิดแล้วกว่า 5,000 ร้านค้าทั่วประเทศ