ความระงับแห่งสัญญาประกันวินาศภัยกับการควบคุมตรวจสอบโดยภาครัฐ

0
2436

ประเด็นร้อน ที่บริษัท อาคเนย์ประกันภัย และ ไทยประกันภัย ได้ยื่นต่อศาลปกครอง เพื่อให้หน่วยงานกำกับ สั่งยกเลิก คำสั่ง”การบอกเลิกกรมธรรม์” “ประกัน เจอ จ่าย จบ” ที่ถูกนำออกจากเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยโควิด แบบเจอจ่ายจบ และ การที่บอร์ดสมาคมประกันวินาศภัยไทยได้มีมติเป็นเอกฉันท์ยื่นอุทธรณ์ขอให้บอร์ด คปภ. พิจารณายกเลิกคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 เพื่อคืน “สิทธิ์บอกเลิกกรมธรรม์” กลับมาในกรมธรรม์ตามหลักการประกอบธุรกิจประกันภัยที่เป็นสากล เหมือนเช่นเดิม

โดยในฟาก หน่วยงานกำกับ อย่าง สำนักงานคปภ. หรือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้ออกมายืนยันที่จะยืนข้างประชาชน ด้วยการยืนคำสั่งนายทะเบียน 38/2564 เอาไว้เพื่อให้กรมธรรม์ประกันภัยโควิดแบบเจอจ่ายจบ ยังคุ้มครองประชาชนต่อไปจนกว่าจบสัญญาที่ให้ไว้ต่อกัน

การออกมานำเสนอข้อมูลของทั้งฟากของ หน่วยงานกำกับ และภาคธุรกิจ สร้างความสับสนในบางประการ ทั้งในเรื่องที่อาจเกิดความไม่ชอบธรรมหากบริษัทประกันภัยบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิด แบบ เจอ จ่าย จบ และในขณะที่บริษัทประกันภัยเอง ก็จะมีความเสี่ยงต่อฐานะการเงิน หากเกิดเคลมแบบทะลักทะล้นของผู้เอาประกันภัย อันจะส่งผลให้เกิดการล้มของบริษัทประกันภัยเกิดขึ้นอีก ต่อจาก เอเซียประกันภัย และ เดอะวันประกันภัย อีกเป็นได้

ไทยแลนด์อินชัวรันส์ จึงได้นำบทความของ ผศ.ดร.กมลวรรณ จิรวิศิษฎ์ – ผศ.ดร.ธีระรัตน์ จีระวัฒนา อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในหัวข้อ “ความระงับแห่งสัญญาประกันวินาศภัยกับการควบคุมตรวจสอบโดยภาครัฐ ” มาให้อ่านเป็นข้อมูลอีกด้าน

เมื่อคู่สัญญาในสัญญาประกันวินาศภัยกล่าวคือ ผู้รับประกันภัย (บริษัทประกันภัย 1) และผู้เอาประกันภัย แสดงเจตนาเข้าผูกนิติสัมพันธ์กันเกิดเป็นสัญญาประกันวินาศภัยขึ้น ทั้งสองฝ่ายก็มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญา ผู้เอา ประกันภัยมีหน้าที่หลักในจ่ายเบี้ยประกันภัย ส่วนบริษัทประกันภัยมีหน้าที่หลักในการรับโอนความเสี่ยงภัยของผู้ เอาประกันภัย หากเกิดภัยตามที่ตนรับเสี่ยงขึ้น บริษัทประกันภัยก็ต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อเยียวยาให้ผู้เอา ประกันภัยกลับคืนสู่สภาพเดิม แม้สัญญาประกันวินาศภัยจะเกิดจากเจตนาของคู่สัญญา แต่อาจระงับผลไปด้วย หลายสาเหตุ มิใช่เพียงแต่เหตุจากเจตนาของคู่สัญญาที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงเลิกสัญญากันเท่านั้น

เนื่องจากความเสี่ยงภัยตามสัญญาประกันวินาศภัยมีความสำคัญในฐานะที่เป็นเงื่อนไขในการชำระหนี้ที่ บริษัทประกันภัยจะต้องพิจารณาในการตกลงทำสัญญา การเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงภัยจึงเป็นสาเหตุสำคัญ ประการหนึ่งที่กระทบต่อสัญญาประกันภัย โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจทำให้เงื่อนไขในการชำระหนี้ของ บริษัทประกันภัยได้รับผลกระทบจากที่เคยมีการคำนวณไว้ในขณะทำสัญญา ด้วยเหตุนี้ กฎหมาย หรือข้อสัญญา ต่าง ๆ จึงกำหนดให้สัญญาประกันภัยระงับ หรือกำหนดสิทธิในการบอกเลิกสัญญาไว้ เนื่องจากความเสี่ยงภัยไม่ได้ เป็นไปตามเดิม อันเป็นการทำให้สัญญาประกันภัยระงับสิ้นผลลงนอกเหนือไปจากการแสดงเจตนาตกลงกันเลิก สัญญาของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย

ในประเทศไทยมีกฎหมายกำหนดให้สัญญาประกันวินาศภัยระงับลงเนื่องจากมีเงื่อนไขบางประการเกิดขึ้น อาทิ หากมีการโอนเปลี่ยนมือวัตถุที่เอาประกันภัยโดยไม่ใช่ผลของกฎหมายหรือโดยพินัยกรรม ตัวอย่างเช่น ผู้เอา ประกันภัยขายอาคารพาณิชย์ที่เอาประกันอัคคีภัยไว้ไปในระหว่างที่สัญญายังมีผลบังคับอยู่ หากการโอนเปลี่ยนมือ ไปนั้น ทำให้ความเสี่ยงภัยของวัตถุที่เอาประกันภัยนั้นเพิ่มขึ้นหนัก สัญญาประกันวินาศภัยนั้นจะเป็นโมฆะ2 จาก ตัวอย่างนี้จะเห็นได้ว่าการประกันภัยมีพื้นฐานความคิดจากการเฉลี่ยความเสี่ยงในภัย กล่าวคือ การประกันภัยเป็น การรวบรวมความเสี่ยงของบุคคลที่มีความเสี่ยงภัยในภัยเดียวกันเข้าด้วยกัน โดยบุคคลเหล่านั้นจะสละเงินจำนวน เล็กน้อยมารวมกัน เพื่อนำไปช่วยเหลือคนที่ได้รับความเสียหายจากภัยที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต พื้นฐานความคิด ดังกล่าวได้รับการพัฒนามาเป็นระบบธุรกิจประกันภัย โดยมีบริษัทประกันภัยทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรวบรวม และเฉลี่ยความเสี่ยงในภัยของผู้เอาประกันภัยทั้งหลาย โดยผู้เอาประกันภัยชำระเบี้ยประกันภัยให้บริษัทประกันภัย นำไปรวบรวมเอาไว้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัยที่ได้รับความเสียหายจากภัย

ดังนั้น บริษัทประกันภัยจึงต้องคำนวณความเสี่ยงในภัยที่อาจเกิดขึ้นเพื่อนำมากำหนดเป็นเบี้ยประกันภัยให้ เพียงพอจะกลับมาจ่ายเป็นค่าสินไหมทดแทนต่อความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากภัย หากความเสี่ยงในภัยสูง เบี้ย ประกันภัยจะสูง หากความเสี่ยงภัยต่ำ เบี้ยประกันภัยก็จะต่ำ จากตัวอย่างข้างต้น หากการโอนวัตถุที่เอาประกันภัย ดังกล่าวทำให้ความเสี่ยงภัยเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญระหว่างที่สัญญาประกันวินาศภัยมีผล ก็จะทำให้เบี้ยประกันภัยที่บริษัทประกันภัยได้เคยเรียกเก็บไว้ไม่เพียงพอต่อความเสี่ยงที่สูงขึ้น จึงเป็นที่มาให้ กฎหมายบัญญัติให้สัญญาประกันวินาศภัยดังกล่าวระงับไป ทั้งเพื่อป้องกันการทุจริตของผู้เอาประกันภัย รวมถึง ไม่ให้ผลของการโอนวัตถุที่เอาประกันภัยดังกล่าวถูกผลักภาระให้ผู้เอาประกันภัยอื่นที่ร่วมเฉลี่ยความเสี่ยงภัยให้ ต้องรับเฉลี่ยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

สัญญาประกันวินาศภัยอาจระงับลงด้วยการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาของผู้เอาประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับความ เสี่ยงที่เอาประกันภัยไว้เช่นกัน ในกรณีนี้เป็นการที่กฎหมายให้สิทธิคู่สัญญาบอกเลิกสัญญาประกันวินาศภัยแต่เพียง ฝ่ายเดียว ยกตัวอย่างเช่น หากทำสัญญาประกันวินาศภัยกันไว้ก่อน แต่ยังไม่ถึงวันที่บริษัทประกันภัยเข้ารับเสี่ยงภัย ผู้เอาประกันภัยอาจเปลี่ยนใจบอกเลิกสัญญาดังกล่าวโดยอำเภอใจก็ได้ อย่างไรก็ตามกรณีนี้บริษัทประกันภัยก็จะมี สิทธิได้เบี้ยประกันภัยตามสัญญาครึ่งหนึ่ง3

ในต่างประเทศ การเพิ่มขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่กฎหมาย กำหนดให้สิทธิบริษัทประกันภัย เช่น กฎหมายจีนกำหนดให้บริษัทประกันภัยมีสิทธิขอเพิ่มเบี้ยประกันภัยเมื่อมีการ เพิ่มขึ้นของความเสี่ยงภัย และหากผู้เอาประกันภัยไม่ตกลงให้เพิ่มเบี้ยประกันภัย บริษัทประกันภัยมีสิทธิบอกเลิก สัญญาได้4 กฎหมายอาเจนติน่ากำหนดให้บริษัทประกันภัยสามารถยื่นคำบอกกล่าวเพื่อขอเลิกสัญญาได้แม้การ เปลี่ยนแปลงของความเสี่ยงจะไม่ได้มีสาเหตุมาจากผู้เอาประกันภัย5 และกฎหมายฝรั่งเศสกำหนดให้ในกรณีที่มี ความเสี่ยงภัยรุนแรงขึ้นระหว่างอายุสัญญา บริษัทประกันภัยมีสิทธิทางเลือกที่จะบอกเลิกสัญญาประกันภัยก็ได้ หรือจะเสนอจำนวนเบี้ยประกันภัยใหม่ก็ได้6

นอกจากนี้สัญญาประกันวินาศภัยอาจระงับลงด้วยข้อสัญญาที่กำหนดให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิ บอกเลิกสัญญาได้ โดยคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาประกันวินาศภัยตามที่กำหนดไว้ในข้อสัญญาได้ แต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องอาศัยความยินยอมจากคู่สัญญาอีกฝ่าย ดังเช่นในสัญญาประกันวินาศภัยในประเทศ ไทยเกือบทุกฉบับได้กำหนดให้ทั้งบริษัทประกันภัยและผู้เอาประกันภัยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ โดยไม่ได้กำหนด เงื่อนไขของการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเอาไว้แต่อย่างใด ในกรณีนี้เกิดคำถามขึ้นว่า การให้สิทธิบริษัทประกันภัย บอกเลิกสัญญานั้นเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ หากพิจารณาอย่างผิวเผินอาจทำให้เข้าใจว่า การให้สิทธิ

บริษัทประกันภัยซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจการค้าบอกเลิกสัญญากับผู้เอาประกันภัยที่เป็นผู้บริโภคได้เป็นข้อสัญญาที่ ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 ในทุกกรณี แต่หากพิจารณาบทบัญญัติ ให้ละเอียดจะพบว่า การจะพิจารณาว่าข้อสัญญาใดเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมจะต้องพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ทั้ง ปวง11 ประกอบด้วย มิใช่พิจารณาเฉพาะข้อความในสัญญา ดังนั้น จึงต้องพิจารณาเป็นกรณีว่า บริษัทประกันภัยใช้ สิทธิตามข้อสัญญาบอกเลิกสัญญาประกันวินาศภัยด้วยสาเหตุใด หากเป็นสาเหตุอันสมควรตามหลักปกติในการ ประกอบธุรกิจประกันภัย จะถือว่าข้อสัญญานั้นเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมมิได้

กฎหมายกำหนดให้ภาครัฐเข้ามาตรวจสอบข้อสัญญาประกันวินาศภัยหรือกรมธรรม์ทุกฉบับ รวมถึงข้อ สัญญาที่ก่อให้เกิดความระงับแห่งสัญญาประกันวินาศภัย ตลอดจนข้อตกลงให้สิทธิคู่สัญญาบอกเลิกสัญญาที่ ปรากฏในกรมธรรม์ ก่อนที่บริษัทประกันภัยจะนำออกเสนอขายต่อประชาชน บริษัทประกันภัยไม่อาจนำกรมธรรม์ ที่ไม่ผ่านความเห็นชอบจากภาครัฐออกเสนอขายต่อประชาชนได้12 หากบริษัทประกันภัยฝ่าฝืนจะต้องระวางโทษ อาญาตามที่กฎหมายกำหนด13 ทั้งนี้ เพื่อให้ภาครัฐได้เข้าตรวจสอบเนื้อหาของสัญญาอันเป็นสัญญาสำเร็จรูป และ ถ่วงดุลอำนาจต่อรองอันเกิดจากฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญและอำนาจทางเศรษฐกิจที่ เหนือกว่าอีกฝ่ายซึ่งเป็นผู้บริโภคทั่วไป ทำให้เกิดความเป็นธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบกันจากข้อสัญญา ดังนั้น จึง อนุมานในเบื้องต้นได้ว่า กรรมธรรม์ที่ได้ผ่านความเห็นชอบจากภาครัฐแล้วเป็นสัญญาที่เป็นธรรมต่อคู่สัญญาทั้งสอง ฝ่าย หน้าที่ในการตรวจสอบกรรมธรรม์ดังกล่าวของรัฐนั้นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมดังกล่าว เป็นหน้าที่อันสำคัญ และเป็นหน้าที่ซึ่งปรากฎใน Insurance Core Principles14 ออกโดย The International Association of Insurance Supervisors (IAIS) ซึ่งเป็นองค์การไม่แสวงหาผลกำไรระหว่างประเทศที่ประกอบไปด้วยสมาชิกที่เป็น องค์กรกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยกว่า 152 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย15

เนื่องจากสภาพสังคม ความเสี่ยงภัย และสภาวะการณ์ต่าง ๆ ของโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปทุกขณะ กรรมธรรม์ที่เคยได้รับความเห็นชอบจากภาครัฐแล้ว อาจไม่เหมาะสมและเป็นธรรมในเวลาต่อมา ด้วยข้อเท็จจริง ดังกล่าว กรรมธรรม์ที่ได้รับความเห็นชอบจากภาครัฐให้ออกเสนอขายต่อประชาชนได้แล้ว ก็อาจมีความจำเป็นต้อง แก้ไขเปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม หรือยกเลิกได้ เมื่อได้รับความเห็นชอบจากภาครัฐ16 อย่างไรก็ตาม ในการใช้อำนาจสั่ง แก้ไขเปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม หรือยกเลิกกรรมธรรม์ ภาครัฐจะต้องใช้อำนาจออกคำสั่งโดยชอบ ไม่ให้กระทบสิทธิ

และหน้าที่ของคู่สัญญาที่เกิดขึ้นแล้วจนก่อให้เกิดความเสียหายกับคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น คำสั่งแก้ไข เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม หรือยกเลิกกรรมธรรม์ดังกล่าวของภาครัฐจะต้องมีผลไปในอนาคต กล่าวคือมีผลกับกรรม ธรรม์ที่บริษัทประกันภัยจะได้นำออกเสนอขายต่อประชาชนภายหลังมีคำสั่งดังกล่าวหรือมิให้มีการเสนอขายกรรม ธรรม์ดังกล่าวในอนาคตอีกต่อไป มิเช่นนั้นแล้วจะขัดต่อหลักกฎหมายทั่วไปที่ว่ากฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง (Ex post facto law) นอกจากนั้น หากคำสั่งมีผลย้อนหลังไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัย ก็จะขัดกับหน้าที่ ของภาครัฐที่ต้องตรวจสอบถ่วงดุลความเป็นธรรมระหว่างคู่สัญญา หรือหากไปก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท ประกันภัย ก็จะขัดกับหน้าที่ของภาครัฐที่ต้องดูแลรักษาตรวจสอบความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันภัยที่ จะได้กล่าวต่อไป นอกจากเนื้อหาของคำสั่งต้องชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวแล้ว กระบวนการออกคำสั่งก็ต้องชอบ ด้วยกฎหมายอีกด้วย โดยภาครัฐต้องรวบรวมข้อมูลอย่างครบถ้วนรอบคอบ รับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสีย ทุกฝ่ายเสียก่อน จึงจะสามารถมีคำสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลง เพิ่มเติม หรือยกเลิกกรรมธรรม์ใดอีกด้วย17

หน้าที่ของภาครัฐในการตรวจสอบถ่วงดุลความเป็นธรรมระหว่างคู่สัญญาในสัญญาประกันภัยวินาศภัย ไม่ใช่หน้าที่อันสำคัญเพียงประการเดียว หากแต่ภาครัฐยังมีอีกหน้าที่ที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ได้แก่ หน้าที่ในการต้องดูแลรักษา และตรวจสอบความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันภัย เนื่องจากการสูญเสียความ มั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันภัยจะกระทบต่อผู้เอาประกันภัยในวงกว้างมากยิ่งกว่าความผิดพลาดอันเกิด จากหน้าที่รักษาความเป็นธรรมระหว่างคู่สัญญาซึ่งจะกระทบเฉพาะผู้เอาประกันภัยในกรรมธรรม์ประเภทหรือแบบ ที่มีความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นเท่านั้น ในทางตรงกันข้ามหากเกิดความผิดพลาดขึ้นกับการดูแลรักษา และตรวจสอบ ความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันภัย หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นจะกระทบผู้เอาประกันภัยทุกคนในกรรม ธรรม์ทุกประเภทที่บริษัทประกันภัยออกขาย ทั้งนี้เพราะหากบริษัทประกันภัยไม่มีความมั่นคงทางการเงิน หรืออยู่ ในสภาวะล้มละลาย จะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงกับผู้เอาประกันภัยทุกคน จากการที่บริษัทประกันภัยไม่มี สินทรัพย์เพียงพอที่จะดำเนินธุรกิจ หรือจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เอาประกันภัย ทำให้ผู้เอาประกันภัยทุกคน ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ ทั้งยังจะส่งผลกระทบต่อเงินในกองทุนประกันวินาศภัยที่ต้องเข้ามารับหน้าที่ เป็นผู้ชำระบัญชี เยียวยาไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เอาประกันภัยที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งการที่ต้องนำเงินจาก กองทุนประกันวินาศภัยมาใช้หากเป็นจำนวนมากก็จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินของระบบธุรกิจ ประกันวินาศภัยทั้งระบบ กล่าวคือกระทบต่อบริษัทประกันภัยทุกบริษัทและผู้เอาประกันภัยทุกคน ดังนั้น ในการ กำหนดเบี้ยประกันภัยของกรมธรรม์ทุกฉบับ จึงต้องได้รับความเห็นชอบจากภาครัฐก่อน18 เพื่อให้ภาครัฐสามารถ ตรวจสอบว่าเบี้ยประกันภัยจำนวนดังกล่าวเพียงพอจะคุ้มครองความเสี่ยงที่บริษัทประกันภัยรับโอนมาจากผู้เอา ประกันภัยหรือไม่ รวมถึงตรวจสอบว่าเบี้ยประกันภัยดังกล่าวไม่มากจนก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมขึ้น หากบริษัทประกันภัยเรียกเก็บเบี้ยประกันภัยต่างไปจากที่ได้รับความเห็นชอบจะต้องโทษอาญา19 รวมถึงบริษัทประกันภัยยัง ถูกควบคุมตรวจสอบการบริหารสินทรัพย์ หนี้สิน ภาระผูกพัน เงินสำรอง การลงทุน การขายอสังหาริมทรัพย์ โดย ภาครัฐอีกด้วย ซึ่งหน้าที่ดูแลรักษาตรวจสอบความมั่นคงทางการเงินบริษัทประกันภัยเป็นหน้าที่ซึ่งปรากฎใน Insurance Core Principles20 ออกโดย The International Association of Insurance Supervisors (IAIS) เช่นกัน

1 ในบทความนี้จะใช้คำว่า “บริษัทประกันภัย” แทนคำว่า “ผู้รับประกันภัย” เพื่อให้คำไม่คล้ายคลึงกับคู่สัญญาประกันวินาศภัยอีกฝ่าย คือ “ผู้เอาประกันภัย” และง่ายต่อการการทำความเข้าใจของผู้อ่าน

2 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) มาตรา 875.

3 ป.พ.พ. มาตรา 872.

4 Insurance Contract Law No. 2496/97 (China), Article 4.

5 LAW NO. 17418 on Insurance (Argentina), Article 40.

6 Code des assurances, (France) Article ” L 113-4″

11 พระราชบัญญัติว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 มาตรา 4 วรรคสี่ และมาตรา 10.

12 พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. ประกันวินาศภัยฯ) มาตรา 29 วรรคหนึ่ง.

13 พ.ร.บ. ประกันวินาศภัยฯ มาตรา 90.

14 The International Association of Insurance Supervisors (IAIS), Insurance Core Principles, ICP 19 Conduct of Business < https://www.iaisweb.org/page/supervisory-material/insurance-core-principles/file/77910/all-adopted-icps-updated-november- 2018> accessed 14 Jan 2022.

15 IAIS, IAIS Organisation members < https://www.iaisweb.org/page/about-the-iais/iais-members> accessed 14 Jan 2022.

16 พ.ร.บ. ประกันวินาศภัยฯ มาตรา 29 วรรคสอง.

17 พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 30 และมาตรา 31.

18 พ.ร.บ. ประกันวินาศภัยฯ มาตรา 30 วรรคหนึ่ง

19 พ.ร.บ. ประกันวินาศภัยฯ มาตรา 90.

20 The International Association of Insurance Supervisors (IAIS), Insurance Core Principles, ICP 1 7 Capital Adequacy

<https://www.iaisweb.org/page/supervisory-material/insurance-core-principles/file/77910/all-adopted-icps-updated-november- 2018> accessed 14 Jan 2022.

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่