คุ้มภัยโตเกียวมารีนฯ พร้อมรบหลังควบรวมเฟสแรกชูเป้าสิ้นปี 63 ดันเบี้ย 1.7หมื่น ลบ.

0
726

         หลังกระบวนการควบรวมกิจการตามกฎหมายของ บมจ.คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัย(ประเทศไทย) เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยนับตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ มีความคืบหน้าหลังการควบรวมฯ ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ความพร้อมในการย้ายที่ตั้งสำนักงานใหญ่เพื่อให้การบริหารงานเป็นไปอย่างบูรณาการและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการจัดทัพองค์กรพร้อมก้าวสู่การเติบโตระยะยาว โดยกำหนดกลยุทธ์และทิศทางธุรกิจในระยะสั้นและกลาง เน้นการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า จากการเสริมศักยภาพด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลผ่านเครือข่ายการบริการที่แข็งแกร่งทั่วประเทศ โดยบริษัทฯ มุ่งหวังเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมขับเคลื่อนธุรกิจประกันวินาศภัยไทยสู่ความยั่งยืน ภายใต้วิสัยทัศน์ ‘Foster a Sustainable Future’

       ฮิโระโนะริ คิริว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า ถึงแม้บริษัทฯ ต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา(COVID-19) แต่ถือว่าบริษัทฯ สามารถฝ่าวิกฤติ จากการผสานความร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวระหว่างทีมจากคุ้มภัยฯ และโตเกียวมารีนประกันภัยฯ(เดิม) ซึ่งทั้ง 2 ทีม ต่างนำจุดแข็งมาหลอมรวมทุกหน่วยธุรกิจขององค์กร ร่วมกันวางแผนกำหนดทิศทางและกลยุทธ์หลายด้าน โดยการผสานความร่วมมือ (Synergy) 4 ด้าน คือ 1. Revenue Synergy ความร่วมมือเพื่อสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายของกลุ่มบริษัทโตเกียวมารีนผ่านเครือข่ายสาขาทั่วประเทศ 2. Capital Synergy ความร่วมมือด้านการบริหารเงินทุนภายใต้โตเกียวมารีนกรุ๊ป ซึ่งได้รับการจัดอันดับด้านเสถียรภาพทางการเงินจากหลายสถาบัน อันจะส่งผลให้การบริหารงานด้านการรับประกันภัยต่อ (Reinsurance) มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 3. Cost Synergy ความร่วมมือด้านการบริหารต้นทุน ให้เกิดศักยภาพสูงสุดในการปฏิบัติงาน โดยใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมไปถึงแผนการรวมสำนักงานไว้ด้วยกัน และ 4. Investment Synergy ความร่วมมือด้านการลงทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพอร์ตการลงทุนให้สามารถจัดการความเสี่ยงดีขึ้นและสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น

         จากสถานการณ์โควิด-19 แม้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ โดยเฉพาะอัตราการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับรวมในช่วงครึ่งปีแรก โดยครึ่งปีแรกธุรกิจประกันรถยนต์มีเบี้ยรับ 5,582.5 ล้านบาท ติดลบ 13% มีอัตราความเสียหาย (Loss Ratio) อยู่ที่ 62-63% ปรับตัวดีขึ้นจากการเคลมประกันที่ลดลงจากสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นในปีนี้ ขณะที่ธุรกิจประกันภัยขนส่งทางทะเลมีเบี้ยรับ 621.6 ล้านบาท ติดลบ 6%  อันเป็นผลมาจากยอดการจำหน่ายรถยนต์ป้ายแดงลดลง และ ปริมาณการส่งออกที่ลดลง แต่ภายหลังจากมาตรการผ่อนปรนของภาครัฐ ผลการดำเนินงานของบริษัทก็ได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วงมาตรการล็อคดาวน์ที่ผ่านมา บริษัทฯยังสามารถดูแลและให้บริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะเดียวกัน แผนการดำเนินงานหลังควบรวมฯจากส่วนธุรกิจต่างๆ มีความคืบหน้าไปมาก การดำเนินงานเป็นไปอย่างบูรณาการมากขึ้น ปีนี้บริษัทฯคาดว่า จะมีรายได้เบี้ยรับรวมราว 17,000 ล้านบาท

        นายไพชยนต์ สุธีรพงศ์พันธ์  รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า สำหรับในครึ่งปีแรก บริษัทสามารถผลิตเบี้ยประกันภัยรับรวมได้ 8,950 ล้านบาท แบ่งเป็นประกันภัยรถยนต์ 60% และการประกันภัยในกลุ่ม Non motor 40% โดยกลุ่มลูกค้ามาจากเครือข่ายบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นในไทยและกลุ่มประเทศแม่น้ำโขง (J-Biz Clients) มีสัดส่วน 25% และเป็นกลุ่มลูกค้าคนไทย 75%

       อย่างไรก็ตาม ต้นเดือน พ.ย.นี้ เรามีแผนที่จะย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่ อาคาร อาคารเอสแอนด์เอ ชั้น 2-6 ถนนสีลม แขวงสุริยวงค์ เขตบางรัก กทม. เพื่อให้การบริหารงานมีความเป็นเอกภาพ นอกจากนั้น เรายังวางแผนรวมกิจการสาขาใน 23 จังหวัด ที่มี 2 สาขาเข้าไว้ด้วยกัน โดยตอนนี้เราดำเนินการรวมสาขาเสร็จเรียบร้อยไปแล้วทั้งสิ้น 10 สาขา

       ด้านนายเสรี กวินรัชตโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า สำหรับทิศทางช่วงที่เหลือของปีหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศเริ่มคลี่คลาย ภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น เชื่อว่ายอดขายประกันจะค่อยๆ ขยับตัวขึ้น บริษัทกำลังรวมผลิตภัณฑ์ของทั้งสองบริษัทหลังได้ดำเนินการควบรวมไปแล้วในเฟสแรก โดยจะเลือกความคุ้มครอง สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของการใช้รถยนต์ตั้งแต่ลูกค้าซื้อรถ ใช้รถ ล่าสุดได้จับมือกับดีลเลอร์เปิดตัวค่ายรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นรายใหญ่ ออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์ที่เรียกว่า “Gap Insurance” โดยเมื่อลูกค้าซื้อรถใหม่ มูลค่ารถตกไปแล้ว แต่ในกรณีที่ลูกค้าเกิดเหตุรถยนต์พังเสียหายสิ้นเชิงทั้งคัน (Total Loss) ปรากฏว่าได้รับเงินจากค่าสินไหมไม่เท่ากับราคารถตั้งแต่แรก ฉะนั้นแบบประกันตัวนี้จะเข้ามาตอบโจทย์ในส่วนของการซื้อรถใหม่เต็มทุนประกัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทประกันจะรับประกันความเสี่ยงเพียงแค่ 80% และยังมีช่องว่าง(Gap) เหลืออยู่ 20% ที่ลูกค้ามาซื้อความคุ้มครองผ่าน Gap Insurance ซึ่งเป็นโปรดักต์ที่จะเสริมความคุ้มครองให้ลูกค้ามากขึ้น ปัจจุบันได้นำร่องกับลูกค้ารถป้ายแดงไปแล้ว นอกจากนี้บริษัทยังมีโปรดักต์คุ้มครองสินเชื่อในการซื้อรถให้ลูกค้าเป็นทางเลือกด้วย จึงหวังว่าครึ่งปีหลังจะมีโอกาสผลักดันให้ธุรกิจมีการเติบโตขึ้นได้สัก 5%

        ฮิโระโนะริ  คิริว  กล่าวต่อในตอนท้ายว่า บริษัทกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาแผนงาน 3 ปี (2564-2566) เพื่อวางกลยุทธ์ในการเติบโตในอนาคต โดยปัจจุบันบริษัทมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 29,383 ล้านบาท เป็นทรัพย์สินลงทุนรวม 19,723 ล้านบาท ส่วนใหญ่เน้นลงทุนในหุ้นกู้และพันธบัตรรัฐบาลรวม 19,359 ล้านบาท ซึ่งจัดว่าเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ

        ทั้งนี้ในการรวมสำนักงานไว้ด้วยกัน จะทำให้สามารถดูแลและให้บริการลูกค้าและคู่ค้าได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนั้นบริษัทยังเดินหน้าพัฒนาระบบออนไลน์ที่เรียกว่า “Safe Smart” เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ตัวแทนและนายหน้าให้สามารถบริหารจัดการกรมธรรม์ประกันภัยของลูกค้าที่แจ้งไว้กับบริษัทฯ นอกจากนี้ยังเป็นการเสริมศักยภาพทางธุรกิจ มุ่งยกระดับประสบการณ์ให้กับลูกค้าได้อีกด้วย

        สำหรับ คุ้มภัยโตเกียวมารีนประกันภัยฯ มีการดำเนินกลยุทธ์ผ่านช่องทางการขายหลัก ประกอบไปด้วย 1.ช่องทางสาขาที่มีเครือข่ายทั่วประเทศ 2.ฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งจากเครือข่ายบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นในไทยและกลุ่มประเทศแม่น้ำโขง 3.ช่องทางการขายผ่านตัวแทนและโบรกเกอร์ 4.การเป็นพันธมิตรร่วมกับ ดีลเลอร์ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ 5.ช่องทางอื่นๆ อาทิ B2B2C

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่