ไทยประกันชีวิตกางกลยุทธ์การลงทุนและการดำเนินงานในยุคดอกเบี้ยต่ำ ชูธงกระจายความเสี่ยงสู่การลงทุนในต่างประเทศ พร้อมปรับพอร์ตผลิตภัณฑ์เน้นแบบมีส่วนร่วมในเงินปันผล (Participating Product) เพื่อลดผลกระทบจากการการันตีผลตอบแทน ชี้ตลาดประกันสุขภาพยังคงเติบโตสูง โดยเฉพาะโอกาสจากกลุ่มข้าราชการหลังนโยบาย Co-payment
คุณวรางค์ ไชยวรรณ กรรมการและรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจาก “ไทยประกันชีวิต” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ช่วยสนับสนุนการเติบโตของไทยประกันชีวิตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ผ่าน 3 ด้านหลัก 1. การเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อรองรับการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) การเสริมความแข็งแกร่งของเงินกองทุน และการเพิ่มประสิทธิภาพของช่องทางจัดจำหน่าย 2. เพิ่มความโปร่งใสและธรรมาภิบาล ในการบริหารจัดการและการเปิดเผยข้อมูล สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า นักลงทุน และสังคม ซึ่งเห็นได้จากการที่เราได้ SET ESG Rating ปี 2567 ระดับ A และได้รับ CGR ระดับ 5 ดาว และ 3. ยกระดับความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์แบรนด์ การใช้เงินที่ได้จาก IPO มุ่งเสริมศักยภาพการเติบโตในอนาคต ได้แก่ การลงทุนด้านเทคโนโลยี, การเสริมสร้างเครือข่ายพันธมิตรและช่องทางการจัดจำหน่าย, การเพิ่มความแข็งแกร่งด้านเงินทุนรองรับการขยายธุรกิจ และเงินทุนหมุนเวียนและวัตถุประสงค์ทั่วไปของบริษัทปัจจุบัน
ในปัจจุบัน บริษัทฯ มีสินทรัพย์ (Asset) ที่บริหารอยู่กว่า 6 แสนล้านบาท โดยวางแผนบริหารพอร์ตการลงทุนด้วยความระมัดระวัง ส่วนใหญ่เกือบ 90% ของพอร์ตลงทุนยังคงอยู่ในตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนระดับ Investment Grade เพื่อความมั่นคงในระยะยาว ซึ่งในปีที่ผ่านมา ได้มีการคาดการณ์ไว้แล้วว่าดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลง บริษัทฯ ก็ได้ปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล โดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาว ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ระดับสูงบริษัทได้ทำการล็อกผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งช่วยลดผลกระทบในช่วงดอกเบี้ยขาลงได้เป็นอย่างดี ดังนั้นปัจจุบันเราจึงไม่จำเป็นต้องเร่งลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นสำหรับเงินลงทุนใหม่ที่เข้ามาปีละกว่า 10,000 ล้านบาท
อีกทั้งบริษัทได้ปรับกลยุทธ์โดยหันไปให้น้ำหนักกับการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นโดยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นจากในอดีตที่ประมาณ 5% ขึ้นมาอยู่ที่ 12% ของพอร์ตลงทุน หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท โดยให้น้ำหนักกับการลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก สำหรับสัดส่วนปัจจุบันในพอร์ตหุ้น 12% ของบริษัทฯ แบ่งเป็นหุ้นต่างประเทศประมาณ 60% และหุ้นไทย 40% และในช่วงที่ผ่านมาผลตอบแทนจากหุ้นต่างประเทศดีกว่าอย่างชัดเจน โดยกองทุนหุ้น (Equity Fund) สามารถสร้างผลตอบแทนค่อนข้างดี
“บริษัทมีระมัดระวังในการลงทุนในหุ้นกู้ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังอ่อนไหวต่อการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ สำหรับการลงทุนในตราสารทุน แม้เราจะมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อตลาดหุ้นไทยแต่เรายังติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด และทยอยปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนตามภาวะตลาด เงินลงทุนในตราสารทุนส่วนใหญ่ยังอยู่ในตลาดต่างประเทศ ซึ่งเน้นหนักในหุ้นกลุ่มที่ยังมีการเติบโตของกำไรสุทธิ”
นอกจากนี้ ในส่วนของการลงทุนในหุ้นต่างประเทศบริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนในบอนด์ต่างประเทศ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการกระจายความเสี่ยง (Diversify) โดยจะต้องพิจารณาผลตอบแทนหลังการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Hedging) แล้วว่ายังคงมีความน่าสนใจ ขณะเดียวกันได้เริ่มศึกษาการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกใหม่ๆ เช่น Private Equity ในรูปแบบ Fund of Funds ด้วยวงเงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 2,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการเรียนรู้และสร้างความเข้าใจในสินทรัพย์ประเภทใหม่
“ปัจจุบันเรามองว่าสัดส่วนการลงทุนในหุ้นของเราอยู่ในระดับที่เหมาะสมแล้ว และรู้สึกยินดีที่ สำนักงาน คปภ จะผ่อนปรนเรื่องกฎลงทุนมากขึ้นเพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารพอร์ตของบริษัทประกันชีวิต สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล เราคงต้องศึกษาเพิ่มเติมก่อน คงต้องรอดูรายละเอียดตามประกาศฯ หาก Risk Return Profile สอดคล้องกับ Risk Appetite ของบริษัท ก็สนใจในการลงทุน” คุณวรางค์กล่าว
ส่วนประเด็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นั้น คุณวรางค์กล่าวว่า บริษัทได้ตัดสินใจไม่ลงทุนในโครงการอาคารสำนักงาน เนื่องจากมองว่าอุปทานในตลาดมีเป็นจำนวนมาก แต่กำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการลงทุนประเภทคลังสินค้า (Warehouse) โดยเฉพาะสำหรับลูกค้ารายย่อยที่อาศัยในคอนโดมิเนียม โดยย้ำถึงนโยบายการลงทุนที่ยังคงความระมัดระวัง (Conservative) โดยมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR Ratio) อยู่ในระดับสูงกว่าเกณฑ์ที่ คปภ. กำหนดที่ 140% สะท้อนถึงความมั่นคงทางการเงิน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เอาประกันในระยะยาว ควบคู่ไปกับการเดินหน้าทำ Digital Transformation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ตัวแทนและพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจต่อไป
ในด้านกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ คุณวรางค์ บอกว่า บริษัทได้หันมาเน้นการเสนอขายผลิตภัณฑ์แบบมีส่วนร่วมในเงินปันผล (Participating Product) ซึ่งการันตีผลตอบแทนในระดับที่ไม่สูง แต่จะจ่ายผลประโยชน์เพิ่มเติมตามผลการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งช่วยลดแรงกดดันด้านการลงทุนในภาวะดอกเบี้ยต่ำได้เป็นอย่างดี
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดงสูงคือ “ประกันสุขภาพ (Medical)” ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าทุกกลุ่ม นอกจากนี้ยังมองเห็นโอกาสทางการตลาดใหม่ในกลุ่มข้าราชการที่จะมีการปรับนโยบายให้มีการร่วมจ่าย (Co-payment) ในส่วนของค่ารักษาพยาบาลคิดว่ากลุ่มข้าราชการน่าจะหันมาซื้อประกันมากขึ้น เพราะทำให้ยาบางตัวอาจเบิกไม่ได้
ทั้งนี้ในช่วงปลายปีที่เป็นช่วงที่มี demand การซื้อประกันชีวิตเพื่อลดหย่อนภาษี ทางบริษัทเองก็มีแผนที่จะออก product campaign ในช่วงไตรมาส 4 เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ ถึงแม้ว่าลูกค้าจะได้รับผลตอบแทนไม่เท่ากับปีที่ผ่านมา แต่เราเชื่อว่าผลิตภัณฑ์จะยังคงมีความน่าสนใจท่ามกลางสภาวะดอกเบี้ยในตลาดปัจจุบัน
คุณวรางค์กล่าวอีกว่า ในสภาวะดอกเบี้ยขาลง ลูกค้ายังให้ความสนใจในผลิตภัณฑ์ประกันภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการด้านการออม เนื่องจากลูกค้ายังคงต้องการซื้อผลิตภัณฑ์แบบสะสมทรัพย์หรือแบบออมทรัพย์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการเงิน ดังนั้นเราจึงมีกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นในผลิตภัณฑ์สะสมทรัพย์ที่มีส่วนร่วมในเงินปันผลมากขึ้น เพราะผลิตภัณฑ์สะสมทรัพย์ที่มีส่วนร่วมในเงินปันผลจะแบ่งผลกำไรจากการลงทุนให้กับลูกค้าตามผลตอบแทนจากการลงทุน โดยทั่วไปลูกค้าอาจกังวลว่าหากซื้อผลิตภัณฑ์ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) ต่ำ ดังนั้นผลิตภัณฑ์สะสมทรัพย์ที่มีส่วนร่วมในเงินปันผลจึงเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับลูกค้าในช่วงเวลานี้ เพราะเมื่อตลาดฟื้นตัว ลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์นี้จะได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องล็อกผลตอบแทนต่ำในช่วงดอกเบี้ยขาลง





