อานนท์ วังวสุ “New Normal คือ การทำธุรกิจแบบใหม่ที่ดีกว่าเดิม”

0
307

*ยังไง ธุรกิจประกันภัยก็ไม่เหมือนเดิม *แบบประกันภัย จากนี้ต้องทำให้เหมือนอาหารตามสั่ง#*โจรไอที มาแน่ !!! moral hazard มีเหมือนเดิมที่ไม่ปกติ ฟังคำบอกเล่าจาก นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย “อานนท์  วังวสุ”

นายอานนท์  วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ให้ความเห็นว่า “New หรือ ไม่ New Normal ต้องดูให้ดีว่าอะไรเกิดขึ้นใหม่แล้วเป็นประโยชน์ กับอะไรที่เกิดขึ้นแล้วเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า  ในส่วนของการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจะไม่ใช่ New Normal  แต่ถ้าหากเป็น New normal หรือการสร้างวิถีใหม่ คือการสร้างแล้วเกิดประโยชน์ตลอดไป”

วันนี้ถ้าจะถามว่า New normal  เป็นอย่างไรก็ต้องบอกว่ามันเร็วเกินไปที่จะพูด เพราะว่าบางครั้งเราเปลี่ยนแปลงการทำงานไปสู่วิธีใหม่ เช่น work from home การติดต่อกับลูกค้าผ่านระบบออนไลน์มากขึ้นกว่าเดิม เพราะเราไม่สามารถไปเจอลูกค้าได้ กฎเกณฑ์ทั้งหลายที่คปภ.ออกมามีการผ่อนคลายมากขึ้น  ยกตัวอย่างเช่น การขายกรมธรรม์ประกันภัยจะต้องคิดเป็นแบบรายปี  แต่ปัจจุบันขายแบบเป็นรายวันได้ ไตรมาส เป็นรายเดือนได้ อย่างการประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 จะต้องมี Liability คือต้องมีประเภท 3 ยืนพื้น เพราะเขาต้องการให้มีความคุ้มครอง Liability  ในวันนี้ไปไหนไม่ได้ก็มีการหยุดใช้รถ โอกาสที่จะชนคนก็ไม่มี Liability  ก็ไม่มีอยู่แล้ว  มันจะเหลือไฟไหม้ รถหาย ภัยธรรมชาติ หากจะขายประเภท 3 ยืนพื้นก็จะไปบังคับลูกค้าก็ไม่ได้ เพราะรถไม่ได้วิ่ง  ปัจจุบันต้องให้เงื่อนไขผ่อนคลายมากขึ้น

อย่างการประกันภัย IAR  ให้กับโรงแรมเวลาขาย ช่วงโควิด โรงแรมเหมือนกับหยุดดำเนินการ ความเสี่ยงเรื่อง Liability ก็น้อย เพราะไม่มีคนนอกเข้ามาใช้บริการ แต่ความเสี่ยงเรื่องไฟไหม้ยังมี  คือความเสี่ยงเปลี่ยนแปลงไปแต่ละธุรกิจ ฉะนั้น คปภ.ผ่อนคลายให้คัดภัยที่มีความเสี่ยงน้อยๆ ออกไป เลือกซื้อความคุ้มครองเฉพาะภัยที่มีความเสี่ยงชั่วคราว ฉะนั้นหากถามว่าพวกนี้จะเป็น New Normal หรือไม่วันนี้ยังตอบไม่ได้

“New Normal” ก็คือ การทำธุรกิจในรูปแบบใหม่ที่ส่งผลดีกว่าเดิม ทั้งผู้ประกอบการและลูกค้า แต่เรื่องเป็นการปฏิบัติการเพื่อแก้ไขเฉพาะหน้า เพื่อแก้ไขเหตุการณ์ที่มันผิดปกติ ซึ่งมันก็ผิดจากที่ทำจากเดิมแต่ไม่ยั่งยืน แต่อย่างหนึ่งที่เห็นชัดก็คือ การประกันภัยสุขภาพเฉพาะโควิด อันนี้ชัดเจน กล่าวคือ เดิมการประกันภัยสุขภาพมีการเติบโตเล็กน้อยเบี้ยนิดเดียว ขายได้น้อย เพราะเบี้ยประกันแพง เพราะคุ้มครองทุกสิ่งอย่าง ทุกโรค คนก็ไม่ซื้อ นอกจากบริษัทซื้อให้  แต่พอโควิดมา ความคุ้มครอง 1 แสนบาท เบี้ยประกันภัยแค่ 500  บาท คนซื้อ ต่อไปรูปแบบกรมธรรม์จะมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ใครเสี่ยงก็ซื้อ อย่างประกันภัยโควิด เป็นความเสี่ยงที่คนทั้งประเทศกลัว คนก็ซื้อกันมากถึง 8 ล้านกรมธรรม์

รูปแบบของผลิตภัณฑ์จะลงรายย่อย เบี้ยประกันภัยจะมีราคาถูกมากขึ้นเพราะว่าวิถีออนไลน์ จะทำให้ผลิตภัณฑ์ประกันภัยสามารถทำราคาต่ำลงได้ เพราะต้นทุนในการดำเนินการต่ำ  ไม่ต้องออกกรมธรรม์ ไม่ต้องเขียนใบคำขอ ไม่ต้องให้คนออกไปขาย คนซื้อสามารถเข้าถึงการประกันภัยในวงกว้างมากขึ้น ทั้งนี้ก็เป็นผลจากระบบออนไลน์ โดยมีโควิดมากระตุ้นทำให้เกิดการใช้งานระบบออนไลน์ มากขึ้นมาก

จากเมื่อก่อนคนซื้อประกันผ่านระบบออนไลน์เป็นคนมีความรู้ คนรุ่นใหม่ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า คนทุกกลุ่มในสังคม แม้กระทั้งคนส่วนใหญ่มีรายได้น้อย รู้จักการใช้ออนไลน์ในการทำธุรกรรม เนื่องจากรัฐบาลออกกฎมาให้ใช้ เริ่มตั้งแต่ พร้อมเพย์  การจ่ายเงินเยียวยา คนเริ่มคุ้นเคยกับระบบออนไลน์ จริงๆ หน่วยงานรัฐเป็นผู้นำ อย่างคืนเงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้า ไม่ต้องทำอะไร แค่คีย์เลขบัตรประชาชนในแอพพลิเคชั่นของไฟฟ้า เพียงแค่ 2 สัปดาห์ เงินเข้าบัญชี โดยไม่ต้องใช้เอกสารสักใบ จะเห็นว่าหน่วยงานของรัฐที่มีลูกค้าจำนวนมาก อย่างการไฟฟ้า ประชาชนเกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าการแจกเงินสงเคราห์  เพราะฉะนั้น วิถีใหม่ ระบบออนไลน์มีความสะดวกชัดเจน และมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวันมากขึ้น”

อย่างไรก็ตาม ระบบออนไลน์ ทำให้ขายกรมธรรม์ราคาถูกได้อย่าง เพราะต้นทุนการออกกรมธรรม์ ประมาณ 400-500 บาทต่อกรมธรรม์ พอมีออนไลน์บริษัทประกันภัยก็สามารถขายได้ คือข้ามเส้นเรื่องความคุ้มทุนของค่าใช้จ่าย เดิมเรื่อง เรื่องสินไหมไม่ใช่ปัญหาสำหรับกรมธรรม์ราคาถูก แต่ปัญหาคือเรื่องต้นทุนการออกกรมธรรม์ที่ไม่คุ้มกับค่าเบี้ย แต่ออนไลน์ช่วยได้  อย่างกรมธรรม์โควิด ที่มีคนซื้อมากถึง 8 ล้านกรมธรรม์ ส่วนมากมาจากการขายผ่านออนไลน์ทั้งนั้น  แบบนี้ถือว่าเป็น New Normal  Product ที่ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อความคุ้มครองได้มากขึ้น  สินค้าตรงกับความต้องการตามความจำเป็นของลูกค้ามากขึ้น

นอกจากนี้ ระบบออนไลน์ ช่วยให้การติดต่อสื่อสาร กันภายใน ภายนอก องค์กรดีขึ้นมาก สะดวก รวดเร็ว ประหยัดเวลา แบบนี้ก็ถือว่าเป็น วิถีไหม เพราะทุกคนมีความใกล้ชิดกันมากขึ้นจากการสื่อสารที่สะดวก และมีแอพพลิเคชั่นที่เอื้อต่อการติดต่อสื่อสารซึ่งส่วนใหญ่จะฟรี นอกจากนี้ยังทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะคนมีโอกาสได้คุยกันมากขึ้นด้วย

ในเรื่องของการขาย ยังสามารถช่วยให้บริษัทประกันภัยได้มากขึ้นด้วยเช่นกันอย่าง  กรมธรรม์ประกันภัยโควิด 8 ล้านกรมธรรม์ คิดเป็นเบี้ยประกันภัยรวมประมาณ  4,000  ล้านบาท ที่ขายในช่วงเวลาที่สั้นมาก เพียงแค่ 1 เดือนถือว่าเยอะมาก และจะเห็นว่าค่าใช้จ่ายมันเกินคุ้มไปแล้ว แต่ถ้าเป็นระบบเดิม กับการขายจำนวนกรมธรรม์สูงถึง 8 ล้านกรมธรรม์ ค่าใช้จ่ายเกิน 4,000 ล้านบาท

สำหรับผลที่จะเกิดขึ้น ระหว่างช่องทางตัวแทน กับช่องทางออนไลน์ หากเปรียบเทียบในเรื่องของยอดขาย ต้องดูต่อไป แต่ผลิตภัณฑ์ที่ขายจะต้องแตกต่าง หรือแยกจากกัน  จริงๆ หากเป็นสินค้าที่เป็นแบบง่ายๆ บริษัทประกันภัยก็จะไม่ค่อยให้ตัวแทนขาย เพราะว่ามันง่าย การสื่อสารโดยใช้ระบบออนไลน์เพียงหน้าจอเดียว ส่วนตัวแทนต้องขายผลิตภัณฑ์ที่ยาก และ ต้องใช้ความเป็นมืออาชีพของตัวแทน  ส่วนการขายออนไลน์ไม่ต้องการคนกลาง นอกจากคนกลางที่มีระบบออนไลน์ เพราะระบบออนไลน์ก็มีค่าใช้จ่ายเรื่องระบบเป็นต้นทุน การขายผ่านตัวแทน นายหน้าโดยที่เขานำระบบออนไลน์มาใช้จะช่วยเรื่องต้นทุนของตัวแทน นายหน้า  ทำให้ตัวแทนสามารถขายกรมธรรม์ราคาถูก ลงได้เช่นกัน

หากตัวแทนสามารถแข่งออนไลน์ได้ ก็สามารถลดต้นทุนได้ พอลดต้นทุนได้ บริษัทลดคอมมิชชันตัวแทน ก็ไม่มีปัญหา แต่หากเป็นวิธีปกติหากไปลดคอมมิชชั่นตัวแทน เขาก็ลำบาก ดังนั้นตัวแทน นายหน้า ต้องปรับตัวเหมือนกัน มาใช้วิธีออนไลน์เหมือนกัน  เพราะวันนี้ประชาชนเกิดความเคยชินในการใช้งานในระบบออนไลน์  อย่างการสั่งอาหารออนไลน์ ในทุกวันนี้ถือว่าเป็น New Normal หรือเป็นวิถีปกติไปแล้ว  อย่างทุกวันนี้หลังจากที่เปิดให้ร้านอาหารขายได้ปกติ แต่คนก็ยังไม่ค่อยเข้าใช้บริการมากนัก ยังคงมีการสั่งอาหารออนไลน์เหมือนเดิม

วันนี้เราจะค่อยๆ เห็นว่าอะไรที่จะไม่กลับไปสู่ Old Normal   อย่างร้านอาหารนี่เริ่มเห็น โรงหนัง  ตอนนี้คนหันมาดูหนังผ่าน Net fix ซึ่งมีหนังให้ดูมากกว่าในโรงหนัง อย่างนี้เป็นต้น  ทั้งนี้ภาพของความชัดเจนของการเป็น New normal จะเห็นชัดเจนได้อีกไม่นาน พูดง่ายๆว่า อะไรที่ไม่กลับไปที่เก่า นั่นก็คือ New normal อย่างหลายอย่างของกฎเกณฑ์ของทางการพูดง่ายๆ ว่าเป็น New normal แล้วก็ได้ อย่างโพรดักซ์เดิมจะบังคับใช้ประกันภัยรถยนต์ประเภท 3 ทำไม  หากไม่อยากซื้อ หมายความว่าให้สิทธิในการออกโพรดักซ์ที่หลากหลายมากขึ้น โดยสามารถซื้อเป็นแบบ รายวัน  รายสัปดาห์ รายเดือน คือ คปภ.ไม่ต้องคุมอะไรมาก คือหากการแข่งขันเสรี ไม่ผูกขาด ดูห่างๆ  ซึ่ง คปภ.อาจจะมีแนวคิดนี้ก็ได้  แทนที่จะมารออนุมัติ

ต่อไปอาจจะต้องผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีความเหมาะสมกับความต้องการ แต่ก็จะต้องมีการวางกรอบ แต่ต้องมีกฎเกณฑ์ใหม่ๆ มากำกับ เพราะเมื่อเสรีมาก ก็ห่วงเรื่องความมั่นคงของเงินกองทุน คือยากขึ้น เพราะไม่ได้หมายความว่าการคำนวณแบบรายวันแล้วจะนำเบี้ยประกันภัยมาหาร 365  วันแล้วจะได้ไม่ได้ตรงไปตรงมาแบบนี้ แต่หากถามว่ากรมธรรม์ประเภท ที่ออกมาคุ้มครองแบบ รายวัน รายเดือน  รายสัปดาห์ รายปี จะออกมามากขึ้นแน่นอน หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดี แต่ก็จะมีปัญหาอื่นๆ ตามมา อย่างเรื่องการคำนวณเรื่องเงินสำรอง ต่างๆ ก็ยากขึ้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ กฎเกณฑ์ต่างๆ จะมีการปล่อยเสรีมากขึ้น จะคลุมแต่กรอบใหญ่ๆ เพราะรู้แล้วว่าการคลุมตามกฎเกณฑ์จะไม่สามารถเกิดการพัฒนาได้เร็ว  คปภ.ห่วงเรื่องความมั่นคง  การบริการประชาชน หากทั้ง 2 อย่างสมบูรณ์ บริษัทไม่เสียหาย คปภ.คงพร้อมจะปล่อย เพราะดูจากช่วงนี้ ที่มีโควิด ท่านเลขาธิการ คปภ.จะปล่อยมากทั้งเรื่องเงื่อนไขกรมธรรม์ ทั้งเรื่องอัตราเบี้ยประกันภัย  และเรื่องระยะเวลาการเก็บเงิน อย่างของเดิม จะห่วงเรื่องความมั่นคงอย่างเดียว  การเก็บเบี้ยประกันภัยจะต้องเก็บแบบครั้งเดียว แต่เดี๋ยวนี้สาขามารถแบ่งจ่ายได้ แต่ถ้าหยุดจ่ายเมื่อไรความคุ้มครองก็หยุดตามแบบนี้เป็นการเจอกันตรงกลาง กรมธรรม์รายปี แต่จ่ายเป็นเดือน กรมธรรม์ลักษระแบบนี้มีมากขึ้น ต่อไปเรื่องแบบนี้จะเสรีมากขึ้น  โดยให้กลไกลการตลาดเป็นตัวกำหนดในเรื่องผลิตภัณฑ์  เงื่อนไขความคุ้มครอง เบี้ยประกันภัย และเรื่องการชำระเบี้ยประกันภัย จะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

จากนี้ไปรูปแบบผลิตภัณฑ์ จะต้องเหมือนอาหารตามสั่ง

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของบริษัทประกันภัย ต้องมีความพร้อม มีการปรับวิธีการขาย  การUnderline  ต้องมีความยื่นหยุ่นและคล่องตัวมากขึ้น ระบบจะฟิกซ์ เป็นแบบเดียวต่อไปจะไม่ได้แล้ว ต้องพร้อมเปลี่ยนรูปแบบตลอดเวลาเหมือนกับอาหารตามสั่ง ต้องมีความหลากหลายให้ลูกค้าเลือกได้  อย่างธุรกิจประกันภัยต้องมีความยืดหยุ่น ลูกค้าสามารถเลือกความคุ้มครองแบบ รายวันก็ต้องได้  รายสัปดาห์  รายเดือน หรือรายปีก็ต้องมีให้ครบ จะจ่ายเงินแบบไหนก็ต้องได้  ดังนั้นระบบประกันภัยจะต้องสามารถรองรับได้ด้วย  หรือหากจะยังขายแบบเป็นแพ็คเก็จเหมือนเดิมก็ได้ แต่อาจจะไม่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคอีกต่อไป   ดังนั้นการทำธุรกิจประกันภัยจะต้องยืดหยุ่น และปรับตัวได้เร็ว

ในส่วนของสมาคมประกันวินาศภัยไทย มองเรื่องความช่วยเหลือบริษัทกลาง และขนาดเล็ก โดยมองว่าเราควรจะมีแพลตฟอร์ม ที่เป็นแอพพลิเคชั่นกลาง  อย่างบริษัทใหญ่เขาจะมีแอพพลิเคชั่น ระบบออนไลน์ ระบบรีพอร์ต ของตัวเอง ระบบไอทีมีการลงทุนมาก ฉะนั้นบริษัทประกันภัยใหญ่ๆ เขามีความพร้อม เขาจึงทำได้ครบหมด แต่สำหรับบริษัท ไซส์เล็ก และไซส์กลาง มีเงินลงทุนน้อย  การลงทุนจึงน้อยตามพอถึงการใช้งานก็ใช้ได้ในขอบเขตที่จำกัดไม่คุ้ม ฉะนั้นหากไปใช้ระบบกลางก็อาจจะดีกว่าคือร่วมกันทำ โดยสมาคมอาจจะไม่ใช้ผู้ลงทุน แต่จะเป็นผู้นำแนวคิดนี้มาแปรให้เป็นการปฏิบัติได้ อย่างในปัจจุบัน ลูกค้าใช้ไลน์ ในการติดต่อกับบริษัทประกันภัยมากกว่าแอพพลิเคชั่นของบริษัท แต่ไลน์เป็นเรื่องระหว่างบุคคล ต่อบุคคล แต่เราอยากมีแพลตฟอร์ม ที่เป็นของธุรกิจประกันภัย

โดยอยากให้เกิด 2 แพลตฟอร์ม ที่อยากทำคือ การประกันภัยรถยนต์ กับเรื่องการจ่ายค่ารักษาพยาบาลในเรื่องสุขภาพ กับพีเอ  โดยในส่วนของการประกันภัยรถยนต์ จะครอบคลุมในส่วนของผู้ประกอบการธุรกิจประกันภัยวินาศภัยทั้ง  50  บริษัท อู่  บริษัทเซอร์เวย์เยอร์  คอลเซ็นเตอร์ และสถิติข้อมูลต่างๆ ถ้ามีอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกันแล้วทุกคนสามารถเข้ามาใช้งานได้จะช่วยให้ประหยัดไปได้มาก อย่างค่ารักษาพยาบาล แทนที่ทุกโรงพยาบาลจะมีแอพพลิเคชั่นบริษัทประกันชีวิต และประกันวินาศภัย ซึ่งมี 30-40 แอพพลิเคชั่นเชื่อมต่อ ทำไมไม่มีแพลตฟอร์มกลางให้โรงพยาบาลทุกแห่งเข้ามาใช้ที่นี่ ซึ่งแบบนี้ สมาคมฯสนใจที่จะทำ และต่อไปพรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลออกมาก็จะไม่สามารถส่งข้อมูลรวมไว้ที่กลางได้ เพราะจะขัดต่อกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคล จะต้องมีแพลตฟอร์มกลาง ทำให้มีถนนวิ่งเข้าออกได้สะดวก  ระหว่างบริษัทประกัน โรงพยาบาล ผู้เอาประกันภัย เป็นถนนสายเดียวกัน

ทั้งนี้บริษัทกลางฯ เคยคิดที่จะเป็นตัวกลางที่จะเชื่อมระหว่างบริษัทประกัน กับโรงพยาล ทั้ง 2,000 กว่าแห่งในขณะที่บริษัทประกันภัยทั่วไปสามารถเชื่อมได้อย่างน้อย 300-400 แห่ง คือจะเชื่อมเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาลในเครือ และโรงพยาบาลที่ติดต่อกันบ่อยๆ แต่โรงพยาลที่อยู่ไกลๆ  ซึ่งปีหนึ่งติดต่อกัน ครั้ง สองครั้งเขาก็ไม่มีระบบเชื่อม ทำให้ไม่สะดวก แต่ในส่วนบริษัทได้มีระบบการเชื่อมต่อทุกโรงพยาบาลไว้แล้ว ถ้าถนนนี้หากทุกบริษัท เชื่อมเข้าไปได้ และให้มีการทำงานที่ละเอียดมากขึ้น เช่นมียอดเคลมสะสม ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้ทำกันอย่างจริงจัง ซึ่งจริงๆ ไม่ต้องเป็นบริษัทกลางทำก็ได้ แต่ขอให้เป็นการทำกลางๆ เพื่อให้ทุกคนเข้าไปใช้งานได้สะดวก อย่างนี้บริษัทประกันภัยขนาดเล็ก กลางก็จะเข้าไปใช้งานได้ หรือแม้กระทั้งบริษัทใหญ่แม้จะมีของตัวเองจะเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกก็ได้

อย่างในเรื่องการนำแบบประกันภัยมาเปรียบเทียบ จากหลายๆ บริษัท เริ่มมีให้เห็นโดยบริษัทโบรเกอร์ประกันภัย ก็มีหลายแห่งแต่ยังเป็นการนำมาเปรียบเทียบเฉพาะบริษัทที่โบรกเกอร์รายนั้นๆ ติดต่อกับบริษัท เท่านั้น แต่หากมีแอพฯกลางนำของทุกบริษัทที่ขาย ทำให้ทุกบริษัทส่งแบบของตัวเองเข้ามาในแอพพลิเคชั่นกลางนี้ได้ ผู้บริโภคก็จะสะดวก แต่หากจะทำ ต้องมีการลงทุนที่ค่อนข้างมาก และสมาคมมีข้อจำกัด คือไม่สามารถประกอบธุรกิจทำการค้าหากำไร แต่มีทางคือ ให้ทุกฝ่ายมาร่วมคิด และลงทุนร่วมกัน เหมือนกับการจัดตั้งบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ แบบนี้ จะทำให้เกิดความสะดวก แม้จะต้องใช้เวลา ต้องเริ่มต้น ในอนาคตทุกอย่างจะเร็วขึ้น เพราะกฎหมายต่างๆ ในวันนี้มีความชัดเจน อย่าง พรบ.ส่วนบุคคลก็ออกมาแล้ว ปัจจุบันเรารู้ข้อจำกัด รู้โอกาส ดังนั้นเราก็มาเริ่มต้นออกแบบร่วมกันทำได้ แต่ยากตอนเริ่ม แต่มันเป็นเรื่องใหญ่ก็ต้องใช้เวลา และความร่วมมือ ใช้เงิน อย่างไรก็ดีกว่าต่างคนต่างทำ  ดูอย่าง อเมซอล AB&B

สมาคมประกันวินาศภัย ไม่ได้เป็นผู้ประกอบการทำธุรกิจโดยตรง และเราเป็นผู้ประสานงานระหว่างสมาชิกกันเอง และประสานงานกับหน่วยงานของรัฐ ทั้งคปภ. และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อลองเสนอแนวทางใหม่ๆ ดู ว่าในแนวคิดแรกๆ ว่าดีมากน้อยแค่ไหน อย่างเห็นได้ชัดคือการประกันภัยข้าวนาปี เดิมมีการประเมินโดยเกษตรกร จากบุคลากรของรัฐ อย่างเกษตรตำบล เกษตรอำเภอ  ฯแต่ สมาคมอยากใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เลยมีการทดลองใช้ดาวเทียม ซึ่งดาวเทียมที่สามารถใช้ได้ ในการตรวจสอบความเสียหายของนาข้าว มีอยู่แล้วหลายดวงในประเทศ แต่ยังไม่มีใครนำภาพถ่ายดาวเทียมมาแปรผลเพื่อนำมาใช้ตรวจสอบความเสียหาของนาข้าว  ทางสมาคม เลยจัดทำแอพพลิเคชั่น “มะลิซ้อน”ขึ้นมา โดยให้เกษตรกรโหลด เมื่อเกิดความเสียหายให้เกษตรกรถ่ายภาพ แล้วส่งเข้ามา ทำให้บริษัทประกันภัยทราบว่า ขณะนี้มีข้าวเสียหาย ซึ่งจะทำให้สามารถลงเป็นรายแปลงได้ บริษัทประกันภัยก็สามารถลงไปประเมินความเสียหายได้ทันท่วงที ต่อไป ไม่ต้องรอประกาศภัยพิบัติ จากผู้ว่าราชการ แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากเพราะพื้นที่ทำนามีจำนวนมาก กว่า 50 ล้านไร่ อย่างในประเทศจีนมีการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม และใช้โดรนในการสำรวจ ในระยะต่ำได้ แล้วนำไปเทียบกับภาพถ่ายดาวเทียม แบบนี้ก็ได้ อย่างของสมาคมฯ กำลังเริ่มทดลองใช้ ภาพถ่ายดาวเทียม  โดรน  และแอพมะลิซ้อน ในการสำรวจความเสียหาย แต่ยังคงไม่ได้ผล 100%

จริงๆ แล้ว ประกันภัยโควิด กับ ไมโครอินชัวรันส์ ไม่ได้ต่างกันเลย แต่วันนี้ประชาชนมีความตื่นตัว และใช้ ออนไลน์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันกันแล้ว ต่างจากเมื่อก่อน ตอนนี้เราออกไมโครอินชัวรันส์ ออกมา เบี้ยไม่ถึง 100  บาทก็มี แต่คนไม่ซื้อ วันนี้ต่างกัน เพราะประชาชนเห็นประโยชน์ของประกันภัย มีการใช้งานระบบออนไลน์เป็น  วันนี้บริษัทเริ่มเห็นโอกาส บริษัทก็จะออกสินค้าประกันภัยราคาถูกออกมาขายกันมากขึ้น  การซื้อขายประกันภัยผ่านระบบออนไลน์ จะขยายวงกว้างขึ้น เบี้ยประกันภัยจะถูกลง และความคุ้มครองจะเฉพาะเจาะจงมากขึ้น คนตัดสินใจซื้อมากขึ้น

โควิด สร้างการเรียนรู้ให้กับประชาชน และรัฐเป็นตัวนำ พอรัฐนำทำให้เกิดการตื่นตัวในวงกว้างมากๆ   อย่างการจ่ายเงินให้กับผู้มีรายได้น้อย ผ่านบัญชี ทั้งหมดต่อจากนี้จะเดินไปในลักษณะแบบนี้ และมีความชัดเจนมากขึ้น นี่ก็คือ New Normal

สิ่งที่กังวลเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว คือ  “โจรไอที” หมายถึง เดิมการจี้ปล้นคนปล้นได้ทีละคน แต่โจรไอทีหลอกคนได้ทีล่ะหมื่นคน ทำได้ง่ายๆ ร่องรอยหายากขึ้น เหมือนเวลาโอนถอนเงินผ่าน แอพพลิเคชั่นของธนาคาร มีความสะดวก  ก็มีโจรปลอมไลน์ให้โอนเงินขึ้นมาทำได้ง่าย จับก็ยาก ดังนั้นเมื่อมีโจรไอที  เราก็ต้องมีตำรวจไอที  วันนี้ รูปแบบของอาชญากรรรม เปลี่ยนไป เป็นอาชญากรรมที่เกิดผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น อย่างการขายประกันออนไลน์  แบบหลอกให้จ่ายเบี้ยประกันภัย ได้กรมธรรม์ปลอมก็มีให้เห็นมาก อย่างนี้เป็นต้น

ความกังวล แม้จะเห็นเป็นเรื่องปกติ คือ  moral hazard   เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว อย่างการจ่ายเคลมสุขภาพทุกวันนี้มันใช้คนไม่มันเพราะปริมาณมาก ต้องใช้ระบบไอทีเข้ามาช่วย ดังนั้นในช่วงที่เปลี่ยนผ่านจะยุ่ง ปกติด ถ้าจะไปจับออนไลน์ก็ ต้องไปเหมือนกันหมด อย่างหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ก็ต้องไป

กฎข้อบังคับต่าง มีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาต่างได้ เพราะการจัดการเรื่องต่างๆ เหล่านี้ หน่วยงานรัฐต้องปรับตัวก่อนอย่างสำนักงานคปภ. ที่มีการแก้ไขปัญหาเรื่องฉ้อฉล ต่อไป คปภ.จะต้องเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาเรื่องการฉ้อฉล เพราะปัจจุบันยังไม่มีแหล่งข้อมูลกลาง นอกจากที่ คปภ. ข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกส่งไปที่เดียว ถึงแม้ว่าระบบฐานข้อมูลที่มีอยู่จะยังไม่สมบูรณ์ ก็ไม่เป็นไร  เพราะยังไม่เปลี่ยนเต็มรูปแบบ โจรก็เลยยังไม่เปลี่ยนเต็มรูปเช่นกัน ดังนั้นจะต้องมีระบบป้องกันที่ดี แต่ระบบป้องกันที่ดีก็มีราคา

“วันนี้เราฝืน การเปลี่ยนแปลงวิถีใหม่ไม่ได้ คุณจะชอบ หรือ ไม่ชอบ สังคมจะเปลี่ยนคุณเอง การเป็น New Normal  คือทุกคนได้ประโยชน์จึงเกิดการเปลี่ยนแปลง หากบางคนได้ บางคนไม่ได้ หรือ เสียทั้งคู่ ก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง ประชาชนไม่สะดวก  บริษัทต้นทุนสูงขึ้น ก็ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง มันจะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อ ทุกส่วนได้ประโยชน์ร่วมกัน วิถีธุรกิจก็ไปตามวิถีของโลก เราไม่สามารถกำหนดอะไรได้ด้วยตัวเอง

สิ่งที่จะเห็นชัดคือ เรื่องการฉ้อฉลก็จะเปลี่ยนแปลง  อีกเรื่องคือ ภาคธุรกิจต้องดูแลลูกค้าตัวเองให้ดี การที่ช่วยเหลือให้ผู้บริโภคยืนอยู่ได้เป็นหัวใจสำคัญ อย่างรัฐมีหน้าที่ดูแลประชาชน ในช่วงโควิด ด้วยการแจกเงิน เพราะการดูแลผู้บริโภค  เพราะผู้บริโภคคือลูกค้าของเรา ที่เราต้องดูแล ฉะนั้นภาคธุรกิจก็ต้องดูแลผู้บริโภค อย่างในประสบภาวะเศรษฐกิจแย่ บริษัทประกันภัย ก็ต้องช่วยลด ผ่อนเบี้ยประกันภัย เพื่อให้เขาอยู่รอด แม้บริษัทจะมีเบี้ยประกันภัยที่ลดลง ก็ตาม เพราะถ้าผู้บริโภคอยู่ได้ บริษัทประกันภัยก็อยู่ได้ แต่ถ้าผู้บริโภคอยู่ไม่ได้ ธุรกิจก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน เฟืองทุกตัวต้องหมุน บริษัทจะรวยท่ามกลางลูกค้าที่ยากจน เป็นไปไม่ได้ นี่ก็เป็นเรื่องใหม่ที่ทำให้เกิดจาก Covid ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จริงๆ เราโชคดี ที่มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนกระบวนการทำงานหลังบ้านมาระยะหนึ่งแล้วเพราะใช้คนทำไม่ไหว” อานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้กล่าวกับ นิตยไทยแลนด์อินชัวรันส์

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่