หน้าแรก Featured “สาระ ล่ำซำ”หวนรับไม้ต่อนายกสมาคมประกันชีวิตไทยสมัยที่ 5

“สาระ ล่ำซำ”หวนรับไม้ต่อนายกสมาคมประกันชีวิตไทยสมัยที่ 5

0
“สาระ ล่ำซำ”หวนรับไม้ต่อนายกสมาคมประกันชีวิตไทยสมัยที่ 5

       สมาคมประกันชีวิตไทย ได้จัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2563 พร้อมกับการเลือกตั้งนายกสมาคมประกันชีวิตไทยคนใหม่ ซึ่งจะเข้ามาดำรงตำแหน่งต่อจาก “นุสรา(อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์” ที่หมดวาระลงหลังจากดำรงตำแหน่งติดต่อกัน 2 วาระแล้วในปีนี้ โดยที่ประชุมคณะกรรมการสมาคมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ “สาระ ล่ำซำ” ที่เคยดำรงแหน่งนี้มาก่อนแล้วถึง 4 สมัย เข้ามาทำหน้าที่สานต่องานของสมาคมฯ ซึ่งเป็นการกลับมาในฐานะนายกฯ อีกครั้งเป็นสมัยที่ 5 พร้อมกันนี้ยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ที่จะเข้ามาทำงานร่วมกัน เพื่อช่วยกันผลักดันและสานต่องานต่างๆ ที่จะทำให้ธุรกิจเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยมีวาระดำรงตำแหน่งนายกสมาคมประกันชีวิตไทย ประจำปีบริหาร 1 กรกฎาคม 2563 – 30 มิถุนายน 2565

       ทั้งนี้นายสาระ ในฐานะนายกสมาคมฯ คนใหม่ เปิดใจว่า ในช่วงปี 2563-2564 ภาคธุรกิจยังคงเผชิญกับความท้าทายจากหลากหลายปัจจัย อาทิ สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกหลังไวรัสโควิด–19 ระบาดยังคงมีความความเปราะบาง ภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำและมีแนวโน้มที่เกิดจุดต่ำสุดใหม่ได้อีก (New low-Yield) ส่งผลกระทบต่อธุรกิจประกันชีวิตในทุกมิติ ทำให้ธุรกิจประกันชีวิตต้องเร่งผนึกกำลังสร้างเกาะป้องกัน และจัดทำแนวทางที่จะบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต อีกทั้งยังมีเรื่องมาตรฐานรายงานทางการเงิน IFRS17 ที่จะถูกนำมาใช้ในประเทศไทย ปี 2567 ส่งผลให้บริษัทต้องลงทุนเม็ดเงินจำนวนมากทั้งระบบการจัดเก็บข้อมูลการคำนวณทางคณิตศาสตร์ฯ กระบวนการทำงานและบุคลากรที่ปรึกษาในการจัดทำ IFRS17 รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและสังคม(Environment Change) ทั้งจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิตใหม่(New Normal) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนโครงสร้างประชากร(Aging Society) และการเข้ามาของเทคโนโลยี 5G 6G ทั้งหมดนี้จะเป็นตัวผลักดันให้รูปแบบการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมของคนเปลี่ยน แปลงไปจากเดิม ซึ่งธุรกิจประกันชีวิตจะต้องเตรียมพร้อมและจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

      แต่ยังคงมีปัจจัยส่งเสริมที่เป็นตัวสนับสนุนให้ธุรกิจประกันชีวิตในปี 2563-2564 มีการเติบโต ปัจจัยแรกมาจากภาครัฐ สืบเนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด ประกอบกับการประชาสัมพันธ์ของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมาทำให้ประชาชนหันมาตื่นตัวและตระหนักถึงความสำคัญของการมีประกันชีวิตและประกันสุขภาพมาใช้เป็นเครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของภาครัฐ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและบรรเทาผลกระทบให้กับบริษัทประกันชีวิต เช่น การปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมต่างๆ การปรับปรุงร่างประกาศเสนอขายให้เป็น Digital face to face เพื่อลดขั้นตอนและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับการเสนอขายให้กับตัวแทนประกันชีวิตมากขึ้น

       ปัจจัยที่สองมาจากภาคธุรกิจ ที่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายการบริหารช่องทางการขายและการบริการให้สอดคล้องกับสถาณการณ์ปัจจุบัน เช่น การพัฒนาช่องทางการขายในรูปแบบ Digital และการบริหารผ่านระบบออนไลน์ในรูปแบบแพลตฟอร์มต่าง ๆ อีกทั้งยังมุ่งพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตให้มีความหลากหลาย ให้สามารถตอบสนองความต้องการและวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่เน้นการให้ความคุ้มครอง รวมถึงพัฒนาสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างทั่วถึง

       นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเพิ่มเติม ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด แต่ภาคธุรกิจประกันชีวิตยังคงมีความแข็งแกร่ง และสามารถแปลงวิกฤตให้เป็นโอกาส โดยมีสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 เป็นตัวเร่งให้ภาคธุรกิจเปิดรับการเปลี่ยนแปลง ทั้งระบบเทคโนโลยี แพลตฟอร์มที่ให้บริการ และโมเดลธุรกิจแบบใหม่ รวมถึงผลิตภัณฑ์ ถือเป็นผลกระทบในเชิงบวกกับธุรกิจประกันชีวิตที่ทำให้ได้พัฒนาตัวเอง เพื่อให้กลุ่มผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์และการบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของตนเองอย่างแท้จริง

       สำหรับภาพรวมของธุรกิจประกันชีวิต นายสาระบอกว่า ในช่วง 6 เดือนแรกปี 2563 (ม.ค.–มิ.ย.) มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวม -3.27 % ธุรกิจประกันชีวิตมีผลงานเบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น 285,942.47ล้านบาท เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา จำแนกเป็นเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ จำนวน 76,196.28 ล้านบาท อัตราเติบโตลดลง 9.29% และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไปจำนวน 209,746.19 ล้านบาท อัตราเติบโตลดลง 0.88% และมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ประกันชีวิต 81% สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย

        (1) เบี้ยประกันภัยรับปีแรก จำนวน 49,559.58 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 1.77% และ (2) เบี้ยประกันภัยรับชำระครั้งเดียว จำนวน 26,636.70 ล้านบาท อัตราการเติบโตลดลง 24.55% โดยจำแนกเป็นเบี้ยประกันภัยรับตามช่องทางการจำหน่าย ดังนี้

       อันดับ 1 ช่องทางการขายผ่านตัวแทนประกันชีวิต จำนวน 142,246.06 ล้านบาท สัดส่วน 49.75%  หรือเติบโตลดลง 1.10% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา อันดับ 2 ช่องทางการขายผ่านธนาคาร จำนวน 116,580.46 ล้านบาท สัดส่วน 40.77% หรือเติบโตลดลง 7.35% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา อันดับ 3 ช่องทางการขายผ่านช่องทางนายหน้า จำนวน 13,446.58 ล้านบาท สัดส่วน 4.70% หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 1.40% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา อันดับ 4 ช่องทางการขายผ่านช่องทางโทรศัพท์ จำนวน 6,942.73 ล้านบาท สัดส่วน 2.43% เติบโตเพิ่มขึ้น 3.92% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา อันดับ 5 การขายผ่านช่องทางดิจิทัล 328.57 ล้านบาท สัดส่วน 0.11% หรือเติบโต 88.01% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา อันดับ 6 การขายผ่านช่องทางไปรษณีย์ จำนวน 23.26 ล้านบาท สัดส่วน 0.01% หรือเติบโตลดลง 8.89% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา อันดับ 7 ช่องทางอื่น ๆ 6,374.79 ล้านบาท สัดส่วน 2.23%  หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 9.53% เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา

       ทั้งนี้ อัตราการเติบโตที่ลดลงในช่วงครึ่งแรกของปี 63 เนื่องจากภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำและสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เกิดมาตรการป้องกันระหว่างประเทศตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา ส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่างๆ ขาดสภาพคล่อง และหลายธุรกิจต้องปิดตัวลง มีคนตกงานและสูญเสียรายได้เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องปรับตัวด้วยการประหยัดรายจ่าย เกิดการชลอตัวของเศรษฐกิจเช่นเดียวกับธุรกิจประกันชีวิต โดยเฉพาะช่องทางตัวแทนประกันชีวิตซึ่งเป็นช่องทางหลักที่ไม่สามารถออกไปเสนอขายด้วยวิธี face to face ได้ ซึ่งทางสมาคมได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) ในการแก้ปัญหาเบื้องต้นด้วยการทำการเสนอขายแบบ Digital face to face ที่ให้ผู้เสนอขายสามารถเสนอขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้เสียงและภาพให้ถือเสมือนเป็นการพบลูกค้า ในระหว่างสถานการณ์จำเป็น และได้รับความยินยอมจากลูกค้า เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องไม่หยุดชะงัก

        นอกจากนี้ยังมีปัจจัยแวดล้อมของธุรกิจที่ส่งผลให้ยอดขายผ่านช่องทางธนาคารลดลง ภาวะความกดดันจากเรื่องมาตรฐานรายงานทางบัญชีและการเงิน IFRS 17 พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และการเผชิญกับอัตราความเสียหายจากคนกลางและการฉ้อฉลประกันภัย (Fraud & Abuse) สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่ออัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตในครึ่งปีแรกทั้งสิ้น

        สำหรับธุรกิจประกันชีวิตไทยในครึ่งหลังของปี 63 นั้นทางสมาคมฯ คาดการณ์ไว้ว่า เบี้ยประกันภัยรับรวมจะมีการปรับตัวลดลงมากกว่าปี 62 ที่ผ่านมา โดยมีอัตราการเติบโตลดลงอยู่ระหว่าง -2 ถึง -5 คิดเป็นเบี้ยประกันภัยรับรวมประมาณ 580,000-600,000 ล้านบาท สอดคล้องกับการคาดการณ์ GDP ของประเทศที่มีการปรับลดลงประมาณ 6%(ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2563 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) แต่หากภายหลังรัฐบาลมีการผ่อนคลายมาตรการกำกับในการควบคุมไวรัสโควิด-19 รวมถึงสถานการณ์ระบาด ในหลายประเทศ มีอัตราผู้ติดเชื้อลดลงในระดับที่ควบคุมได้ ส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ธุรกิจประกันชีวิตก็จะมีโอกาสเติบโตได้ เนื่องจากประชาชนเริ่มตระหนักและให้ความสำคัญเกี่ยวกับการทำประกันชีวิตและวางแผนประกันสุขภาพเพิ่มมากขึ้น

        ส่วนทิศทางผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตนั้น ภาคธุรกิจเริ่มทยอยปรับลดผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทออมทรัพย์ที่มีการการันตีผลตอบแทนออกจากตลาด เหตุเพราะภาวะดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ภาคธุรกิจหาผลตอบแทนให้ลูกค้าได้ยากขึ้น ซึ่งภาคธุรกิจมองว่าแนวโน้มผลิตภัณฑ์นับจากนี้จะเป็นผลิตภัณฑ์ควบการลงทุน Universal Life , Unit Linked , หรือ Participating Policy โดยเน้นการลงทุนตามความเสี่ยงที่ผู้เอาประกันภัยยอมรับได้ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่ให้ความคุ้มครองระยะยาวและประกันสุขภาพ

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

Thailand Insurance News

Thailand Insurance News

พูดคุย และ ดูแลด้วยมิตรภาพ

I will be back soon

Thailand Insurance News
สวัสดีค่ะ 👋
ต้องการสอบถาม ข้อมูลด้านไหนดีคะ
Messenger